ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ต้าหลี่"
ล r2.7.2+) (Robot: Modifying vi:Thành cổ Đại Lý to vi:Đại Lý (thành phố) |
|||
บรรทัด 16: | บรรทัด 16: | ||
ปัจจุบันนี้ ต้าหลี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศ |
ปัจจุบันนี้ ต้าหลี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศ |
||
ต้าลี่ (ต้าหลี : 大理 ในภาษาจีนกลาง) เป็นเมืองเก่าแก่ ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มระหว่างทะเลสาปเอ๋อไห่ และเทือกเขาชังช้าน (苍山) ซึ่งมีภูเขามังกรหยกอยู่ทางด้านตะวันตกของเมือง ต้าลี่ถือเป็นรัฐที่มีเอกราชมานานตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 8 คือ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราชวงศ์ถังและซ่ง ผู้นำมีฐานะเป็นจักรพรรดิแห่งยูนนาน จนกระทั่งมาแตกพ่ายให้กับชาวมองโกล จากนั้นจึงขึ้นอยู่กับศูนย์กลางอำนาจของจีนเป็นต้นมา ตั้งแต่ราชวงศ์หยวน หมิงและชิง คำว่าน่านเจ้า (ภาษาจีนกลางออกเสียงว่า หนานเจ้า : 南诏) หมายถึง ตระกูลทางใต้หรือพวกทางใต้ ซึ่งคืออณาจักรน่านเจ้าทีเราเคยได้ยินกันและมีศูนย์กลางอยู่ที่ต้าลี่ชาวพื้นเมืองต้าลี่ส่วนใหญ่คือชาวไป๋ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ในช่วงปีคศ. 1856–1873 สมัยราชวงศ์ชิง เกิดกบฏในมณฑลยูนนานเรียกว่า กบฏตู้เหวินชิ่ว (杜文秀起義) เกิดจากความขัดแย้งเชิงเชื้อชาติ ระหว่างราชสำนักชิงซึ่งเป็นชาวแมนจูกับชาวพื้นเมืองในมณฑลยูนนาน แต่ชาวฮั่นซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของจีนนั้นไม่เกี่ยว ตู้เหวินชิ่วซึ่งเป็นผู้นำ ได้ประกาศเอกราชให้กับมณฑลยูนนานและเรียกว่าประเทศผิงหนาน โดยมีเมืองต้าลี่เป็นเมืองหลวง ปกครองแบบรัฐอิสลาม แต่หลังจากเวลาผ่านไปได้ 17 ปี ท้ายที่สุด ต้าลี่และมณฑลยูนนานก็ขึ้นอยู่กับราชวงศ์ชิงอีกครั้ง ผู้นำผิงหนานถูกตัดศีรษะแช่น้ำผึ้งส่งไปปักกิ่ง ชาวไป๋พาผมไปดูรอยสลักบนกำแพงเมือง ซึ่งชาวเมืองแอบเขียนด่าราชสำนักชิงไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน และยังคงถูกรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน |
|||
== สถานที่สำคัญ == |
|||
ต้าหลี่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่สุดแห่งหนึ่งของมณฑลยูนนาน โดยมีชื่อเสียงมาจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และถนนนานาชาติ ซึ่งมีทั้งอาหารแบบตะวันตก [[ดนตรีสากล]] และผู้คนที่พูด[[ภาษาอังกฤษ]] |
|||
จึงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างประเทศ ภายในเมืองยังมีร้านกาแฟอยู่มากมาย ทำให้มีบรรยากาศเหมือนเมืองในยุโรปอย่างเช่น[[อัมสเตอร์ดัม]] |
|||
* [[พิพิธภัณฑ์ต้าหลี่]] |
|||
* [[วัดฉงเซิ่ง]] |
|||
* [[ทะเลสาบเอ๋อไห่]] |
|||
== ผลิตภัณฑ์สำคัญ == |
== ผลิตภัณฑ์สำคัญ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:05, 30 พฤศจิกายน 2555
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
ต้าหลี่ (จีน: 大理) เป็นเมืองเอกของ เขตปกครองตนเองชนชาติไป๋ ต้าหลี่ มณฑลยูนนานทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงระหว่างเทือกเขาชางซานทางด้านตะวันตก และทะเลสาบเอ๋อไห่ทางด้านตะวันออก เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวไบ๋และชาวอี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
ประวัติศาสตร์
ต้าหลี่เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรน่านเจ้า ซึ่งเป็นอาณาจักรของชาวไป๋ในราวศตวรรษที่ 8-9 ต่อมาได้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรต้าหลี่ในปี พ.ศ. 1480 - 1796 และยังเป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏชาวจีนมุสลิม (จีนฮ่อ)ระหว่างปี พ.ศ. 2399 - 2406
ต้าหลี่ยังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งผลิตหินอ่อนหลากหลายชนิด ซึ่งนำไปใช้ในการก่อสร้างและประดับตกแต่งอาคาร
ปัจจุบันนี้ ต้าหลี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศ
ต้าลี่ (ต้าหลี : 大理 ในภาษาจีนกลาง) เป็นเมืองเก่าแก่ ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มระหว่างทะเลสาปเอ๋อไห่ และเทือกเขาชังช้าน (苍山) ซึ่งมีภูเขามังกรหยกอยู่ทางด้านตะวันตกของเมือง ต้าลี่ถือเป็นรัฐที่มีเอกราชมานานตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 8 คือ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราชวงศ์ถังและซ่ง ผู้นำมีฐานะเป็นจักรพรรดิแห่งยูนนาน จนกระทั่งมาแตกพ่ายให้กับชาวมองโกล จากนั้นจึงขึ้นอยู่กับศูนย์กลางอำนาจของจีนเป็นต้นมา ตั้งแต่ราชวงศ์หยวน หมิงและชิง คำว่าน่านเจ้า (ภาษาจีนกลางออกเสียงว่า หนานเจ้า : 南诏) หมายถึง ตระกูลทางใต้หรือพวกทางใต้ ซึ่งคืออณาจักรน่านเจ้าทีเราเคยได้ยินกันและมีศูนย์กลางอยู่ที่ต้าลี่ชาวพื้นเมืองต้าลี่ส่วนใหญ่คือชาวไป๋ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ในช่วงปีคศ. 1856–1873 สมัยราชวงศ์ชิง เกิดกบฏในมณฑลยูนนานเรียกว่า กบฏตู้เหวินชิ่ว (杜文秀起義) เกิดจากความขัดแย้งเชิงเชื้อชาติ ระหว่างราชสำนักชิงซึ่งเป็นชาวแมนจูกับชาวพื้นเมืองในมณฑลยูนนาน แต่ชาวฮั่นซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของจีนนั้นไม่เกี่ยว ตู้เหวินชิ่วซึ่งเป็นผู้นำ ได้ประกาศเอกราชให้กับมณฑลยูนนานและเรียกว่าประเทศผิงหนาน โดยมีเมืองต้าลี่เป็นเมืองหลวง ปกครองแบบรัฐอิสลาม แต่หลังจากเวลาผ่านไปได้ 17 ปี ท้ายที่สุด ต้าลี่และมณฑลยูนนานก็ขึ้นอยู่กับราชวงศ์ชิงอีกครั้ง ผู้นำผิงหนานถูกตัดศีรษะแช่น้ำผึ้งส่งไปปักกิ่ง ชาวไป๋พาผมไปดูรอยสลักบนกำแพงเมือง ซึ่งชาวเมืองแอบเขียนด่าราชสำนักชิงไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน และยังคงถูกรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน