ข้ามไปเนื้อหา

ประเทศจีน

พิกัด: 35°N 103°E / 35°N 103°E / 35; 103
หน้าถูกกึ่งป้องกัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สาธารณรัฐประชาชนจีน

中华人民共和国 (จีน)
Zhōnghuá Rénmín Gònghéguó (พินอิน)
เพลงชาติ义勇军进行曲
Yìyǒngjūn Jìnxíngqǔ
"มาร์ชทหารอาสา"
พื้นที่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนควบคุมแสดงในสีเขียวเข้ม บริเวณที่อ้างสิทธิ์แต่มิได้ควบคุมแสดงในสีเขียวอ่อน
พื้นที่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนควบคุมแสดงในสีเขียวเข้ม บริเวณที่อ้างสิทธิ์แต่มิได้ควบคุมแสดงในสีเขียวอ่อน
เมืองหลวงปักกิ่ง
39°55′N 116°23′E / 39.917°N 116.383°E / 39.917; 116.383
ภาษาราชการภาษาจีนมาตรฐาน[a]
ภาษาพื้นเมือง
Official scriptอักษรจีนตัวย่อ[b]
กลุ่มชาติพันธุ์
(ค.ศ. 2020)[1]
ศาสนา
(ค.ศ. 2020)[2]
เดมะนิมชาวจีน
การปกครองสาธารณรัฐสังคมนิยมลัทธิมากซ์–เลนิน[3] พรรคการเมืองเดียว
สี จิ้นผิง
• ประธานคณะมนตรีรัฐกิจ (นายกรัฐมนตรี)
หลี่ เค่อเฉียง
ลี่ จ้านชู
หวาง หยาง
สภานิติบัญญัติสภาประชาชนแห่งชาติ
การก่อตั้ง
ป. 2070 ปีก่อนคริสต์ศักราช
221 ปีก่อนคริสต์ศักราช
1 มกราคม ค.ศ. 1912
1 ตุลาคม ค.ศ. 1949
20 กันยายน ค.ศ. 1954
4 ธันวาคม ค.ศ. 1982
20 ธันวาคม ค.ศ. 1999
พื้นที่
• รวม
9,596,961 ตารางกิโลเมตร (3,705,407 ตารางไมล์)[f][6] (อันดับที่ 3/4)
2.8[g]
ประชากร
• สำมะโนประชากร 2021
เพิ่มขึ้นเป็นกลาง 1,412,600,000[8] (อันดับที่ 1)
145[9] ต่อตารางกิโลเมตร (375.5 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 83)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) ค.ศ. 2022 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 29.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 1)
เพิ่มขึ้น 20,667 ดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 70)
จีดีพี (ราคาตลาด) ค.ศ. 2022 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 18.46 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 2)
เพิ่มขึ้น 12,990 ดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 56)
จีนี (ค.ศ. 2018)Negative increase 46.7[11]
สูง
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019)เพิ่มขึ้น 0.761[12]
สูง · อันดับที่ 85
สกุลเงินเหรินหมินปี้ (元/¥)[h] (CNY)
เขตเวลาUTC+8 (เวลามาตรฐานจีน)
รูปแบบวันที่
  • ปปปป-ดด-วว
  • หรือ ปปปป
  • (CE; CE-1949)
ขับรถด้านขวามือ (แผ่นดินใหญ่)
ซ้ายมือ (ฮ่องกงและมาเก๊า)
รหัสโทรศัพท์+86 (แผ่นดินใหญ่)
+852 (ฮ่องกง)
+853 (มาเก๊า)
รหัส ISO 3166CN
โดเมนบนสุด

สาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนตัวย่อ: 中华人民共和国; จีนตัวเต็ม: 中華人民共和國; พินอิน: Zhōnghuá Rénmín Gònghéguó; อังกฤษ: People's Republic of China (PRC)) เป็นรัฐเอกราชในเอเชียตะวันออก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก กว่า 1,400 ล้านคน เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็น 22 มณฑล (ไม่รวมพื้นที่พิพาทไต้หวัน), 5 เขตปกครองตนเอง, 4 นครปกครองโดยตรง (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง), และ 2 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ฮ่องกงและมาเก๊า

ประเทศจีนมีพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 3 หรือ 4 แล้วแต่วิธีการวัด ลักษณะภูมิประเทศของจีนมีความหลากหลาย ตั้งแต่ป่าสเต็ปป์และทะเลทรายในพื้นที่แห้งแล้งทางตอนเหนือของประเทศติดกับประเทศมองโกเลียและไซบีเรียของรัสเซีย และป่าฝนกึ่งโซนร้อนในพื้นที่ชื้นทางใต้ซึ่งติดกับเวียดนาม ลาว และพม่า ส่วนภูมิประเทศทางตะวันตกนั้นขรุขระและเป็นที่สูง โดยมีเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาเทียนชานกั้นเป็นพรมแดนตามธรรมชาติกับประเทศอินเดีย เนปาล และเอเชียกลาง ในทางตรงกันข้าม แนวชายฝั่งด้านตะวันออกของจีนแผ่นดินใหญ่นั้นเป็นที่ราบต่ำ และมีแนวชายฝั่งยาว 14,500 กิโลเมตร (ยาวที่สุดเป็นอันดับที่ 11 ของโลก) ซึ่งติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางใต้ และทะเลจีนตะวันออกทางตะวันออก นอกจากนี้ยังมีประเทศที่เป็นเกาะอยู่ใกล้เคียง ได้แก่ เกาหลี และญี่ปุ่น

อารยธรรมจีนโบราณ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งอารยธรรมยุคแรกเริ่มของโลก เจริญรุ่งเรืองในลุ่มแม่น้ำเหลืองอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งไหลผ่านที่ราบลุ่มจีนเหนือ[13] จีนยึดระบบการเมืองแบบราชาธิปไตยหลายสหัสวรรษ จีนรวมกันเป็นปึกแผ่นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ฉินเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนราชวงศ์สุดท้าย ราชวงศ์ชิง สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1912 ด้วยการสละราชสมบัติของจักรพรรดิผู่อี๋ พร้อมกันกับการสถาปนาสาธารณรัฐจีนโดยพรรคก๊กมินตั๋ง พรรคชาตินิยมจีน ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1912 ครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้น เป็นยุคสมัยแห่งความแตกแยกและสงครามกลางเมืองซึ่งแบ่งประเทศออกเป็นค่ายการเมืองสองค่ายหลักคือ ก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ ความเป็นปฏิปักษ์ส่วนใหญ่สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1949 เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะสงครามกลางเมือง และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนสาธารณรัฐจีน ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของก๊กมินตั๋งนั้น ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังไทเปบนเกาะไต้หวัน นับแต่นั้นมา สาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งทางการเมือง กับสาธารณรัฐจีนเหนือปัญหาอธิปไตยและสถานะทางการเมืองของไต้หวัน

นับตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนตลาดเมื่อปี ค.ศ. 1978 ประเทศจีนได้กลายมาเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจสำคัญที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก[14] โดยเป็นผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกทั้งในด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศราคาตลาดและความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ[15] ตลอดจนเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประเทศจีนได้รับการจัดให้เป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีกองทัพขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ประเทศจีนถูกจัดว่ามีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจของโลกโดยนักวิเคราะห์วิชาการ[16] นักวิเคราะห์การทหาร[17] ตลอดจนนักวิเคราะห์นโยบายสาธารณะและเศรษฐกิจ[18]

ภูมิศาสตร์

ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออก บนฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ดินประมาณ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีพื้นที่บนบกมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และถูกพิจารณาว่ามีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก[19] ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อมูลขนาดนี้เกี่ยวข้องกับ (ก) ความถูกต้องของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของจีน อย่างเช่น อัคสัยจินและดินแดนทรานส์คอราคอรัม (ซึ่งอินเดียอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งสองด้วยเช่นกัน)[7] และ (ข) วิธีการคำนวณขนาดทั้งหมดโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนังสือความจริงของโลกระบุไว้ที่ 9,826,630 กม.2[20] และสารานุกรมบริตานิการะบุไว้ที่ 9,522,055 กม.2[21] สถิติพื้นที่นี้ยังไม่นับรวมดินแดน 1,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งผนวกเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยรัฐสภาทาจิกิสถานเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554 ซึ่งยุติข้อพิพาทด้านดินแดนที่ยาวนานนับศตวรรษ[22]

ประเทศจีนมีอาณาเขตติดต่อกับ 14 ประเทศ มากกว่าประเทศอื่นใดในโลก (เท่ากับรัสเซีย) เรียงตามเข็มนาฬิกาได้แก่ ประเทศเวียดนาม ลาว พม่า อินเดีย ภูฏาน เนปาล ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กีซสถาน คาซัคสถาน รัสเซีย มองโกเลีย และเกาหลีเหนือ นอกเหนือจากนี้ พรมแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐจีนตั้งอยู่ในน่านน้ำอาณาเขต ประเทศจีนมีพรมแดนทางบกยาว 22,117 กิโลเมตร ซึ่งยาวที่สุดในโลก

ดินแดนจีนตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 18° และ 54° เหนือ และลองติจูด 73° และ 135° ตะวันออก ประกอบด้วยลักษณะภูมิภาพหลายแบบ ทางตะวันออก ตามแนวชายฝั่งที่ติดกับทะเลเหลืองและทะเลจีนตะวันออก เป็นที่ราบลุ่มตะกอนน้ำพาซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นและกว้างขวาง ขณะที่ตามชายขอบของที่ราบสูงมองโกเลียในทางตอนเหนือนั้นเป็นทุ่งหญ้า ตอนใต้ของจีนนั้นเป็นดินแดนหุบเขาและแนวเทือกเขาระดับต่ำเป็นจำนวนมาก ทางตอนกลาง-ตะวันตกนั้นเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำของแม่น้ำสองสายหลักของจีน ได้แก่ แม่น้ำหวงและแม่น้ำแยงซี ส่วนแม่น้ำอื่นที่สำคัญของจีนได้แก่ แม่น้ำซี แม่น้ำโขง แม่น้ำพรหมบุตร และแม่น้ำอามูร์ ทางตะวันตกนั้น เป็นเทือกเขาสำคัญ ที่โดดเด่นคือ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งมีจุดสูงสุดของจีนอยู่ทางครึ่งตะวันออกของยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และที่ราบสูงอยู่ท่ามกลางภูมิภาพแห้งแล้ง อย่างเช่น ทะเลทรายทากลามากันและทะเลทรายโกบี

ประเด็นปัญหาใหญ่ประการหนึ่งคือการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของทะเลทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเลทรายโกบี[23] ถึงแม้ว่าแนวต้นไม้กำบั้งซึ่งปลูกไว้ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 จะช่วยลดความถี่ของการเกิดพายุทรายขึ้นได้ แต่ภัยแล้งที่ยาวนานขึ้นและวิธีการทางเกษตรกรรมที่เลวส่งผลทำให้เกิดพายุฝุ่นขึ้นทางตอนเหนือของจีนทุกฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นจึงแพร่กระจายต่อไปยังส่วนอื่นของเอเชียตะวันออก รวมทั้งเกาหลีและญี่ปุ่น ตามข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมจีน (SEPA) ประเทศจีนกำลังกลายสภาพเป็นทะเลทรายราว 4,000 กม.2 ต่อปี[24] น้ำ การกัดเซาะ และการควบคุมมลพิษได้กลายมาเป็นประเด็นที่สำคัญในความสัมพันธ์ของจีนกับต่างประเทศ ธารน้ำแข็งที่กำลังละลายในเทือกเขาหิมาลัยยังได้นำไปสู่การขาดแคลนน้ำในประชากรจีนนับหลายร้อยล้านคน[25]

ประเทศจีนมีสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่เป็นฤดูแล้งและฤดูมรสุมชื้น ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิในฤดูหนาวและฤดูร้อน ในฤดูหนาว ลมทางเหนือซึ่งพัดลงมาจากละติจูดสูงทำให้เกิดความหนาวเย็นและแห้งแล้ง ขณะที่ในฤดูร้อน ลมทางใต้ซึ่งพัดมาจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ละติจูดต่ำจะอบอุ่นและชุ่มชื้น ลักษณะภูมิอากาศในจีนแตกต่างกันมากในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากภูมิลักษณ์อันกว้างขวางและซับซ้อนของประเทศ

ความหลากหลายทางชีวภาพ

แพนด้ายักษ์

จีนเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง[26] และตั้งอยู่ในสองเขตชีวภาพสำคัญของโลก เขตชีวภาพพาลีอาร์กติกและเขตชีวภาพอินโดมาลายา โดยการนับจำนวนชนิดของสัตว์และพืชมีท่อน้ำเลี้ยง มีมากกว่า 34,687 สายพันธุ์ ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากเป็นอันดับสามของโลก รองจากบราซิลและโคลอมเบีย[27] ในเขตพาลีอาร์กติกพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอย่างเช่น ม้า อูฐ สมเสร็จ และหนูเจอร์บัว ส่วนสปีชีส์ที่พบในเขตอินโดมาลายาเช่น แมวดาว ตุ่นพงสาลี กระแต ไปจนถึงลิงและเอปหลายสปีชีส์ สัตว์บางชนิดพบในเขตชีวภาพทั้งสองเนื่องจากการแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติและการอพยพ และกวางหรือแอนติโลป หมี หมาป่า สุกรและสัตว์ฟันแทะสามารถพบได้ในทุกสภาพแวดล้อมทางภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน แพนด้ายักษ์ที่มีชื่อเสียงนั้นพบได้ในบริเวณจำกัดตามแม่น้ำแยงซี ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาที่กำลังดำเนินอยู่ในด้านการค้าสปีชีส์ใกล้สูญพันธุ์ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีกฎหมายห้ามกิจกรรมดังกล่าวแล้วก็ตาม

ประเทศจีนมีป่าหลายประเภท ขอบเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือนั้นมีภูเขาและป่าสนเขตอากาศหนาว ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์บางสปีชีส์ รวมไปถึง มูสและหมีดำเอเชีย นอกจากนี้ยังมีนกอีกราว 120 ชนิด ป่าสนชื้นมีชั้นไม้พุ่มเป็นไผ่ แทนที่โดยกุหลาบพันปีกลุ่มไม้จำพวกสนและยิวบนภูเขาที่สูงกว่า ป่าใต้เขตร้อน ซึ่งพบมากทางตอนกลางและตอนใต้ของจีน พบพรรณพืชจำนวนน่าพิศวงถึง 146,000 สปีชีส์[28] ป่าฝนเขตร้อนและป่าดิบแล้ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีขอบเขตเพียงมณฑลยูนนานและเกาะไหหนาน แต่มีพรรณพืชและพันธุ์สัตว์คิดเป็นหนึ่งในสี่ของทั้งหมดที่พบในประเทศจีน[28]

สิ่งแวดล้อม

โรงงานอุตสาหกรรมริมฝั่งแม่น้ำแยงซีในประเทศจีน

ประเทศจีนมีการวางกฎข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติบางฉบับ เช่น กฎหมายป้องกันสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2522 ซึ่งส่วนใหญ่ยึดแบบมาจากกฎหมายสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งแวดล้อมยังคงเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง[29] ขณะที่ข้อบังคับนั้นค่อนข้างที่จะเข้มงวด แต่การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ยังคงไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากชุมชนหรือรัฐบาลท้องถิ่นมักจะปล่อยปละละเลยอยู่บ่อยครั้ง ขณะที่มุ่งให้ความสนใจกับการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่า หลังจากกฎหมายมีผลใช้บังคับมานาน 12 ปี มีนครเพียงแห่งเดียวในจีนเท่านั้นที่กำลังมีความพยายามที่จะบำบัดน้ำเสีย[30]

ส่วนหนึ่งของรายจ่ายที่จีนต้องเสียเพื่อแลกกับความเฟื่องฟูที่เพิ่มขึ้นนั้นคือควมเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ตามข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรน้ำ ชาวจีนราว 300 ล้านคนกำลังดื่มน้ำที่ไม่ปลอดภัยสำหรับบริโภค ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำที่กำลังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยที่ 400 จาก 600 นครทั่วประเทศกำลังขาดแคลนน้ำ[31][32]

อย่างไรก็ตาม ด้วยเงินกว่า 34,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดใน พ.ศ. 2552 ทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศผู้นำการลงทุนเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน[33][34] ประเทศจีนผลิตกังหันลมและแผงสุริยะต่อปีมากที่สุดในโลก[35]

ประวัติศาสตร์

สาธารณรัฐจีน (2455-2492)

ซุน ยัตเซ็นและเจียง ไคเชก

การปฏิวัติซินไฮ่ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 (สิ้นสุดลงในปี พ.ศ 2455) ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง โดยการนำของ ดร. ชุน ยัตเซน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง แม้ว่าหลังจากเริ่มก่อการ ซุนยัดเซ็นจะต้องลี้ภัยออกไปต่างประเทศ แต่ซุนยัดเซ็นก็เดินทางไปในหลายประเทศเพื่อขอระดมทุนสนับสนุนจากคนจีนโพ้นทะเลและนายทุนในต่างแดน โดยมี หวงซิง สหายร่วมอุดมการณ์ของซุนยัดเซ็น เป็นผู้นำทหารทหาร ออกปฏิบัติการอยู่ภายในประเทศอีกหลายครั้ง สุดท้ายแล้วการปฏิวัติซินไฮ่ก็ส่งผลสะเทือนใหญ่หลวงที่ทำให้ประเทศจีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด

โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้ หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าน่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีนในเวลานั้น ขณะที่ผู้นำประเทศในเวลานั้นคือจักรพรรดิชาวแมนจูกลับไม่มีอำนาจและกำลังพอที่จะบริหารประเทศให้ดีขึ้นได้ แล้วยังถูกประชาชนมองว่าราชวงศ์ของชาวแมนจูได้แสวงหาประโยชน์จากคนจีน ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (พ.ศ. 2187 – 2455) มีการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนาง เหล่าขุนศึก ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตก และ ญี่ปุ่น จีนได้ทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้คณะปฏิวัติไม่พอใจต่อระบอบการปกครองของราชวงศ์ชิง[36]

สาธารณรัฐประชาชนจีน

การสู้รบส่วนใหญ่ในสงครามกลางเมืองจีนยุติลงในปี พ.ศ. 2492 โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ และพรรคก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน[37] หรือที่เรียกว่า "จีนคอมมิวนิสต์" หรือ "จีนแดง"[38]

แผนเศรษฐกิจและสังคมซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า นโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 ล้านคน[39] ใน พ.ศ. 2509 เหมาและพันธมิตรทางการเมืองได้เริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งกินเวลาจนกระทั่งเหมาถึงแก่อสัญกรรมในอีกหนึ่งทศวรรษถัดมา การปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากการแย่งชิงอำนาจภายในพรรคและความกลัวสหภาพโซเวียต นำไปสู่ความวุ่นวายครั้งใหญ่ในสังคมจีน ใน พ.ศ. 2505 ช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตเลวร้ายลงมากที่สุด เหมาและโจว เอินไหล พบกับริชาร์ด นิกสันในกรุงปักกิ่งเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกันนั้น สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติแทนที่สาธารณรัฐจีน และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

การปฏิรูปและประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

หลังจากเหมาถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. 2519 และการจับกุมตัวแก๊งออฟโฟร์ ซึ่งถูกประณามว่าเป็นผู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าเหตุระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้ง เสี่ยวผิงได้แย่งชิงอำนาจจากทายาททางการเมืองที่เหมาวางตัวไว้ หัว กั๋วเฟิง อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นประธานพรรคหรือประมุขแห่งรัฐ ในทางปฏิบัติแล้ว เติ้งเป็นผู้นำสูงสุดของจีนในเวลานั้น อิทธิพลของเขาภายในพรรคนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ หลังจากนั้น พรรคคอมมิวนิสต์ได้ผ่อนปรนการควบคุมเหนือชีวิตประจำวันของพลเมืองและคอมมูนถูกยุบโดยชาวนาจำนวนมากได้รับที่ดินเช่า ซึ่งได้เป็นการเพิ่มสิ่งจูงใจและผลผลิตทางเกษตรกรรมอย่างกว้างขวาง เหตุการณ์ดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงจีนจากระบบเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลางมาเป็นเศรษฐกิจแบบผสม ซึ่งมีสภาพเป็นตลาดเปิดเพิ่มมากขึ้น หรือที่บางคนเรียกว่า "ตลาดสังคมนิยม"[40] และพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เรียกมันอย่างเป็นทางการว่า "สังคมนิยมที่เป็นลักษณะเฉพาะของจีน" สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้บังคับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2525

ในปี พ.ศ. 2532 การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทางการผู้สนับสนุนการปฏิรูป หู ย่าวปัง เป็นการจุดชนวนการชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532 อย่างไรก็ตาม การชุมนุมดังกล่าวถูกปราบปรามลงเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการรายงานอย่างกว้างขวางและนำไปสู่การประณามและการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลจีน[41][42]

เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน และนายกรัฐมนตรีจู หรงจี สองอดีตนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ เป็นผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีนภายหลังเหตุการณ์เทียนอันเหมินในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ภายใต้การบริหารงานเป็นระยะเวลาสิบปีของทั้งสอง สมรรถนะทางเศรษฐกิจของจีนได้ช่วยยกระดับฐานะของชาวนาประมาณ 150 ล้านคนขึ้นจากความยากจนและรักษาอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไว้ที่ 11.2% ต่อปี[43][44] จีนเข้าร่วมกับองค์การการค้าโลกอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2544

ถึงแม้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจีนได้เริ่มวิตกกังวลว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนี้จะมีผลกระทบในด้านลบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของประเทศ อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความกังวลคือบางภาคส่วนของสังคมไม่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเพียงพอ ตัวอย่างหนึ่งคือช่องว่างใหญ่ระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท ดังนั้น ภายใต้เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดปัจจุบัน ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้เริ่มดำเนินนโยบายเพื่อที่จะหยิบยกประเด็นปัญหาของการแจกจ่ายทรัพยากรอย่างเท่าเทียม แต่ผลที่ออกมานั้นยังสามารถพบเห็นได้[45] ชาวนามากกว่า 40 ล้านคนถูกบังคับให้ย้ายออกจากที่ดินของตน[46] ซึ่งเป็นเหตุปกติธรรมดาเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงและการจลาจลกว่า 87,000 ครั้งในปี พ.ศ. 2548[47] สำหรับประชากรส่วนใหญ่ของจีนแล้ว มาตรฐานการดำเนินชีวิตมองเห็นได้ว่ามีการพัฒนาอย่างมาก และเริ่มมีเสรีภาพมากขึ้น แต่การควบคุมทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับความยากจนในชนบท[48]

เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน สี จิ้นผิงปกครองประเทศนับแต่ปี 2012 และมุ่งดำเนินการความพยายามขนานใหญ่เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจจีน[49][50] (ซึ่งประสบปัญหาจากความไม่มั่นคงทางโครงสร้างและความเติบโตที่ชะลอตัวลง)[51][52][53] และยังปฏิรูปนโยบายบุตรคนเดียวและระบบการลงโทษ[54] ตลอดจนการกวาดล้างการฉ้อราษฎร์บังหลวงครั้งใหญ่[55] ในปี 2013 ประเทศจีนเริ่มต้นข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทาง ซึ่งเป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก[56]

การระบาดทั่วของโควิด-19 ทั่วโลกมีต้นกำเนิดในอู่ฮั่นและมีการระบุครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2019[57] รัฐบาลจีนตอบสนองด้วยยุทธศาสตร์โควิดเป็นศูนย์ (zero-COVID) นับเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่ใช้แนวทางดังกล่าว[58] เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัวกว้างขวางขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยระหว่างการระบาดทั่ว โดยมีการสร้างงานที่มั่นคงและการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศเป็นประวัติการณ์ แต่การบริโภคค้าปลีกยังคงต่ำกว่าคาด[59][60]

การเมือง

รัฐธรรมนูญจีนระบุว่าประเทศจีน "เป็นรัฐสังคมนิยมที่ปกครองโดยระบอบเผด็จการประชาธิปไตยประชาชนซึ่งมีชนชั้นกรรมกรเป็นผู้นำ และตั้งอยู่บนพันธมิตรของกรรมกรและเกษตรกร" และสถาบันของรัฐ "จักนำหลักการประชาธิปไตยรวมศูนย์ไปปฏิบัติ"[61] ประเทศจีนเป็นรัฐสังคมนิยมประเทศเดียวในโลกที่มีพรรคคอมมิวนิสต์ปกครอง มีผู้อธิบายรัฐบาลจีนอย่างหลากหลายว่าเป็นคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมบ้าง แต่ยังมีอธิบายว่าเป็นอำนาจนิยม[62] และบรรษัทนิยม[63] ซึ่งมีการจำกัดในหลายด้าน ที่เด่นชัดคือการขัดขวางการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างเสรี เสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม สิทธิการมีบุตร การก่องตั้งองค์การทางสังคมอย่างเสรี และเสรีภาพในการนับถือศาสนา[64]

แม้พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะอธิบายประเทศจีนว่าเป็น "ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือสังคมนิยม"[65] แต่ภายนอกประเทศมักอธิบายประเทศจีนว่าเป็นรัฐสอดแนมอำนาจนิยมและเผด็จการ[66][67][68][69][70][71] ผู้นำจีนเรียกระบบการเมือง อุดมการณ์และเศรษฐกิจว่าเป็น "ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ" "เผด็จการประชาธิปไตยประชาชน" "สังคมนิยมที่มีลักษณะจีน" และ "เศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยม" ตามลำดับ[72][73]

พรรคคอมมิวนิสต์จีน

นับแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ส่วนสำคัญของรัฐธรรมนูญจีนประกาศว่า "ลักษณะที่นิยามสังคมนิยมที่มีลักษณะจีนคือผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน"[74] การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2018 ได้กำหนดสถานภาพรัฐพรรคการเมืองเดียวโดยพฤตินัยของจีนไว้ในรัฐธรรมนูญ[74] ซึ่งเลขาธิการพรรค (หัวหน้าพรรค) มีอำนาจสูงสุดและมีอำนาจหน้าที่เหนือรัฐและรัฐบาล และยังเป็นผู้นำสูงสุดอย่างไม่เป็นทางการด้วย[75] เลขาธิการคนปัจจุบัน คือ สี จิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2012 และได้รับเลือกตั้งอีกสมัยในวันที่ 25 ตุลาคม 2017[76] ระบบการเลือกตั้งของพรรคเป็นแบบพีระมิด สภาประชาชนท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และสภาประชาชนระดับสูงขึ้นไปจนถึงสภาประชาชนแห่งชาติมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมของสภาประชาชนระดับต่ำกว่าหนึ่งระดับ[61] มีพรรคการเมืองอีก 8 พรรคที่มีผู้แทนในสภาประชาชนแห่งชาติและการประชุมปรึกษาหารือการเมืองประชาชนจีน (CPPCC)[77] จีนสนับสนุนหลักการ "ประชาธิปไตยรวมศูนย์" ของลัทธิเลนิน[61] แต่นักวิจารณ์เรียกสภาประชาชนนี้ว่าเป็นองค์กร "ตรายาง"[78]

ด้วยเหตุที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและกองทัพปลดปล่อยประชาชนเลื่อนขั้นตามหลักอาวุโส จึงเป็นไปได้ที่จะแบ่งแยกผู้นำจีนออกเป็นรุ่น ๆ ในวจนิพนธ์อย่างเป็นทางการ จะมีการระบุผู้นำแต่ละกลุ่มกับส่วนขยายของอุดมการณ์ของพรรคต่างกัน นักประวัติศาสตร์ศึกษาการพัฒนาของการปกครองประเทศจีนแต่ละยุคโดยเรียกว่าเป็น "รุ่น" ต่าง ๆ

การปกครอง

มหาศาลาประชาชนในปักกิ่ง ที่ประชุมของสภาประชาชนแห่งชาติ

ประเทศจีนเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวที่มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ สภาประชาชนแห่งชาติในปี 2018 แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของประเทศเพื่อยกเลิกข้อจำกัดการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนสองสมัย ทำให้ผู้นำมีสิทธิดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน (และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน) ได้ไม่มีกำหนดวาระ ทำให้ถูกวิจารณ์ว่าสร้างการปกครองแบบเผด็จการ[79][80] ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐในนาม มาจากการเลือกตั้งของสภาประชาชนแห่งชาติ ประธานาธิบดีจีนคนปัจจุบัน คือ สี จิ้นผิง ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นหัวหน้าคณะมนตรีรัฐกิจอันประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี 4 คน และหัวหน้ากระทรวงและคณะกรรมาธิการต่าง ๆ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือ หลี่ เค่อเฉียง ซึ่งยังเป็นสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการประจำคณะกรรมการบริหารสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นองค์กรวินิจฉัยสั่งการระดับบนสุดโดยพฤตินัยของจีน[81][82]

การแบ่งเขตการปกครอง

สาธารณรัฐประชาชนจีนมีอำนาจการปกครองเหนือ 22 มณฑล และถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลที่ 23 ของตน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอำนาจการปกครองเหนือไต้หวันซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐจีน การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนจีนถูกคัดค้านโดยสาธารณรัฐจีน[83] นอกจากนี้ยังแบ่งเขตการปกครองเป็นเขตปกครองตนเอง 5 แห่ง แต่ละแห่งมีชื่อตามชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่นั้น นครปกครองโดยตรง 4 แห่ง และเขตบริหารพิเศษ 2 แห่ง ซึ่งมีสิทธิ์ปกครองตนเองอยู่ในระดับหนึ่ง ดินแดนเหล่านี้อาจถูกเรียกรวมกันว่า "จีนแผ่นดินใหญ่" ซึ่งมักยกเว้นฮ่องกงและมาเก๊า

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย

  • การทูต

ทางการไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศดำเนินมาด้วยความราบรื่นบนพื้นฐานของความเสมอภาค เคารพซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน และอยู่ภายใต้หลักการของผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สันติภาพ และเสถียรภาพของภูมิภาค ความร่วมมือกันของทั้ง 2 ได้ดำเนินมาอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามเย็นเมื่อจีนสามารถได้สถาปนาความสัมพันธ์กับอาเซียนทุกประเทศแล้ว ความสำคัญของประเทศไทยต่อจีนในทางยุทธศาสตร์ได้ลดลงไปจากเดิม ความสัมพันธ์ในปัจจุบันจึงได้เน้นด้านการค้าและเศรษฐกิจบนพื้นฐานของผลประโยชน์ต่างตอบแทนเป็นหลัก

ไทยและจีนไม่มีปัญหาหรือข้อขัดแย้งใด ๆ ที่ตกทอดมาจากประวัติศาสตร์ การไปมาหาสู่ของผู้นำระดับสูงสุดก็ได้เป็นไปอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะการเสด็จฯ เยือนจีนอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2543 การเสด็จฯ เยือนจีนของพระบรมวงศานุวงศ์ไทยมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมมิตรภาพและความเข้าใจระหว่างประชาชนของสองประเทศอีกด้วย

  • การเมือง

ปัจจุบันความสัมพันธ์ไทย - จีน มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นในทุกด้าน ทั้งกรอบทวิภาคี พหุภาคี และเวทีภูมิภาค เช่น การประชุมอาเซียนและจีน อาเซียน + 3 ARF ASEM เป็นต้น ในการเยือนจีนเมื่อเดือนสิงหาคม 2544 ทางไทยและจีนต่างเห็นพ้องที่จะมุ่งพัฒนาความสัมพันธ์และขอบข่ายความร่วมมือระหว่างกันให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในลักษณะของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จหลายด้าน เช่น ความร่วมมือด้านยาเสพติด ด้านการเงิน การคลัง พาณิชย์นาวี รวมทั้งได้ลงนามความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างไทย - จีน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย - จีน

เมื่อปี 2548 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 30 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างปไทยและจีน ทั้งสองประเทศจะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองร่วมกันเป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นและใกล้ชิดกันเป็นพิเศษระหว่างทั้งสองประเทศ อาทิ การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้นำ โดยนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางเยือนจีน อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 เพื่อร่วมฉลองในกิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทย และรัฐบาลจีนร่วมกันจัดขึ้นที่ประเทศจีน การจัดกิจกรรมฉลองร่วม การจัดทำหนังสือที่ระลึก การจัดงานสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน และการแลกเปลี่ยนเยาวชน เป็นต้น

ล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนนครหนานหนิง เมื่อวันที่ 30 – 31 ตุลาคม 2549 เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีนสมัยพิเศษ ที่จัดขึ้นในโอกาสที่อาเซียนและจีนฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 15 ปี โดยได้พบหารือกับผู้นำระดับรัฐบาลและระดับท้องถิ่นของจีน รวมถึงผู้นำอีก 9 ประเทศของอาเซียน ซึ่งการเยือนประสบผลสำเร็จอย่างดี

  • เศรษฐกิจและการค้า

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2546 ได้มีการลงนามความตกลงเร่งลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ระหว่างไทย -จีน ซึ่งช่วยลดอุปสรรคด้านภาษีในการค้าสินค้าผักและผลไม้ (สินค้าพิกัดภาษี 07 08) ทั้งประเทศไทย และ จีน มีความพร้อมในการลดภาษีอยู่แล้ว ซึ่งได้มีผลยกเว้นภาษีสำหรับสินค้า 116 รายการ ในพิกัดภาษี 07 08 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546

  • การค้าไทย และ จีน ในปี 2548 มีมูลค่า 20,343.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.31 ประเทศไทยส่งออก 9,183.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐและนำเข้า 11,159.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • การค้าไทย และ จีน ในปี 2549 มีมูลค่า 25,154.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.75 ประเทศไทยส่งออก 11,708.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 13,445.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สินค้าที่ทางการจีนนำเข้าจากไทยที่สำคัญมากที่สุดคือ สายอากาศและเครื่องสะท้อนสัญญาณทางอากาศ พลาสติก มันสำปะหลัง คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ แผงวงจรไฟฟ้า ไม้ที่เลื่อยแล้ว ส่วนสินค้าที่จีนส่งออกมาไทยที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็กรีดร้อน เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์หรือโทรเลขแบบใช้สาย เงิน ตะกั่ว

การลงทุนของไทยในจีนเมื่อปี 2548 ไทยลงทุนในจีนรวม 95.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ธัญพืช ฟาร์มสัตว์ มอเตอร์ไซค์ โรงแรม ร้านอาหาร การนวดแผนไทย ส่วนการลงทุนของจีนในไทยในปีเดีวกัน จีนลงทุนในไทยรวม 2,286 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในกิจการอุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก และอุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานการลงทุนที่จีนได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนมีจำนวนทั้งสิ้น 15 โครงการ ประกอบด้วยกิจการก่อสร้าง การค้า ธนาคาร การแปรรูปโลหะ การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ สายการบิน เครื่องจักร ร้านอาหาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

  • การทหาร
  • การท่องเที่ยว

สภาพทางการทูตโดยสังเขป

กองทัพ

ตั้งแต่ก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี พ.ศ. 2492 กองทัพของประเทศจีนได้เติบโตอย่างรวดเร็วกองทัพเรือ ตำรวจมีอาวุธในข้อตกลงที่แท้จริงของกองทัพแดง ปัจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งอาวุธที่มีนั้นส่วนใหญ่จะมาจากประเทศรัสเซีย จีนเพิ่มกำลังทางทหารสูงเป็นอันดับ 1 ของเอเชียและอันดับที่ 4 ของโลก หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตทำให้สถานะของยุคหลังสงครามโลก หรือที่เรียกกันว่ายุคสงครามเย็นได้ยุติลง ได้ส่งผลให้ขั้วของการเป็นมหาอำนาจได้เปลี่ยนแปลงไปสหรัฐอเมริกาเองปรารถนาที่จะเป็นขั้วอำนาจขั้วเดียวในโลกโดยดำเนินยุทธศาสตร์ที่มุ่งไปสู่ความเป็นมหาอำนาจชาติเดียว ในขณะเดียวกันประเทศที่ศักยภาพอย่างจีนได้พยายามที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ประเทศมหาอำนาจ โดยการเร่งพัฒนาหลาย ๆ ด้าน และที่ขาดไม่ได้นั่นคือ การพัฒนาให้กองทัพมีศักย์ในการดำเนินสงครามโดยการปรับปรุงให้กองทัพให้มีความทันสมัยในช่วง 10 ปี แรกนั้น ภัยคุกคามหลักของจีนนั้นมุ่งไปที่สหภาพโซเวียต ในขณะที่ปัญหาไต้หวันยังเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในระดับต่ำ ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2538 – 2539 (ค.ศ. 1995 – 1996) ปัญหาเกิดขึ้นบริเวณเกาะไต้หวัน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงภายใน ทำให้ทิศทางของการพัฒนากองทัพมุ่งไปสู่การรองรับภัยคุกคามที่เกิดจากการพยายามแยกตัวของไต้หวันตั้งแต่ พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) เป็นต้นมา กองกำลังทางบกได้รับอาวุธและยุทโธปกรณ์พิเศษที่ใหม่ และหลากหลายที่จีนผลิตเองเข้าประจำการ เช่น รถถังหลัก รถถังสะเทินน้ำสะเทินบก รถสายพานลำเลียงพล ปืนใหญ่อัตตาจร อาวุธนำวิถีพื้นสู่อากาศ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ คอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม อุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ กล้องมองกลางคืน อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ฯลฯ

เศรษฐกิจ

ศักยภาพทางเศรษฐกิจ

อัตราการเจริญการเติบโตของเศรษฐกิจจีนโดยธนาคารโลก

ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศในปี พ.ศ. 2492 จนถึงปลาย พ.ศ. 2521 สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางเหมือนโซเวียต ไม่มีภาคเอกชนหรือระบอบทุนนิยม เหมา เจ๋อตง เริ่มใช้นโยบายก้าวกระโดดไกล เพื่อผลักดันประเทศให้กลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่ทันสมัยและก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม แต่นโยบายนี้กลับถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวทั้งทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรม[84] หลังจากที่เหมาเสียชีวิตและสิ้นสุดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้ง เสี่ยวผิง และผู้นำจีนรุ่นใหม่ได้เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจและใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบผสม

อาคารตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ในย่านธุรกิจเขตผู่ตง เซี่ยงไฮ้

ตั้งแต่เริ่มมีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในปี 2521 เศรษฐกิจของจีนซึ่งนำโดยการลงทุนและการส่งออก[85] เติบโตขึ้นถึง 70 เท่า[86] และกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด[87] ปัจจุบัน จีนมีจีดีพี (nominal) สูงเป็นอันดับสามของโลกที่ 30 ล้านล้านหยวน (4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) แต่รายได้ต่อหัวมีค่าเฉลี่ยเพียง 3,300 ดอลลาร์สหรัฐ จึงยังคงตามหลังประเทศอื่นอีกนับร้อย[88] อุตสาหกรรมขั้นปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และ ตติยภูมิ มีอัตราส่วนร้อยละ 11.3, 48.6 และ 40.1 ตามลำดับ และหากวัดด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ จีนจะมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่สองรองจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น[89] จีนเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลกและเป็นประเทศที่มีมูลค่าทางการค้าสูงเป็นอันดับสามรองจาก สหรัฐอเมริกาและเยอรมนีด้วยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ 2.56 ล้านล้านดอลลาร์ มูลค่าการส่งออก 1.43 ล้านล้านดอลลาร์ (อันดับสอง) และมูลค่าการนำเข้า 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ (อันดับสาม) จีนมีมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลก (มากกว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์) [90] และเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมของการลงทุนจากต่างชาติ โดยสามารถดึงเงินลงทุนมากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2550 เพียงปีเดียว[91][92]

ประเทศจีนเป็นผู้ผลิตหมายเลข 1 ของโลกนับแต่ปี 2010 แซงหน้าสหรัฐซึ่งเป็นหมายเลข 1 ของโลกมาสองร้อยปี[93][94] ประเทศจีนยังเป็นผู้ผลิตไฮเทคอันดับ 2 ของโลกนับแต่ปี 2012 จากข้อมูลของมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ[95] จีนยังเป็นตลาดค้าปลีกใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ[96] ประเทศจีนยังเป็นผู้นำของโลกด้านอีคอมเมิร์ซ โดยคิดเป็นสัดส่นวตลาด 40% ของโลกในปี 2016[97] และกว่า 50% ในปี 2019[98] ประเทศจีนเป็นผู้นำด้านพาหนะไฟฟ้า การผลิตและการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอิน (BEV และ PHEV) เกินกึ่งหนึ่งของโลกในปี 2018[99]

แหล่งข้อมูลต่างประเทศและจีนบางส่วนอ้างว่าสถิติอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีนระบุความเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนสูงกว่าจริง[100][101][102][103] แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ระบุว่าความเติบโตสูงกว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการเช่นกัน[104][105][106][107][108][109]

ประเทศจีนมีเศรษฐกิจไม่เป็นทางการขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นจากการเปิดเศรษฐกิจของประเทศ เศรษฐกิจส่วนนี้สร้างการจ้างงานและรายได้ แต่มีปัญหาเรื่องการไม่เป็นที่ยอมรับและมีผลิตภาพต่ำกว่า[110]

โครงสร้างพื้นฐาน

การคมนาคม และ โทรคมนาคม

คมนาคม

โทรคมนาคม

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจีน เป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าศึกษาอย่างมาก วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจีนเจริญก้าวหน้ามาก่อนตะวันตกหลายร้อยปี สิ่งประดิษฐ์บางอย่างนั้นคนจีนคิดค้นได้ก่อนชาวตะวันตกถึงกว่าหนึ่งพันปี แต่น่าเสียดายที่เรารู้เรื่องเหล่านี้น้อยมาก เพราะเราต่างโดนวัฒนธรรมตะวันตกครอบงำด้วยกันทั้งสิ้น

ความคิด ความเชื่อ และปรัชญาจีน เช่น หยางหยิน อันกำเนิดมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นปัจจัยหลักของยุคเฟื่องฟูทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาวจีนในสมัยราชวงศ์ซ้อง และความเจริญในช่วงนี้ ได้ส่งผลต่าง ๆ ต่อจีนมากมาย เช่น สภาพเศรษฐกิจเฟื่องฟู สิทธิสตรีตกต่ำ เป็นต้น

การศึกษา

สาธารณสุข

ประชากร

เชื้อชาติ

จีนเป็นประเทศเอกภาพที่มีหลายชนชาติ รัฐบาลจีนดำเนินนโยบายทางชนชาติที่ให้ ชนชาติต่าง ๆ มีความเสมอภาค สมานสามัคคีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เคารพและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและขนบธรรมเนียมของชนชาติส่วนน้อยระบบปกครองตนเองในเขตชนชาติส่วนน้อยเป็นระบบการเมืองอันสำคัญอย่างหนึ่งของจีน คือ ให้ท้องที่ที่มีชนชาติส่วนน้อยต่าง ๆ อยู่รวม ๆ กันใช้ระบบปกครองตนเอง ตั้งองค์กรปกครองตนเองและใช้สิทธิอำนาจปกครองตนเอง ภายใต้การนำที่เป็นเอกภาพ ของรัฐ รัฐประกันให้ท้องที่ที่ปกครองตนเองปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบายของรัฐตามสภาพที่เป็นจริงในท้องถิ่นของตน ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ บุคลากรทางวิชาการและ กรรมกรทางเทคนิคชนิดต่าง ๆ ของชนชาติส่วนน้อยเป็นจำนวนมาก ประชาชน ชนชาติต่าง ๆ ในท้องที่ที่ปกครองตนเองกับประชาชนทั่วปแระเทศรวมศูนย์กำลังดำเนิน การสร้างสรรค์สังคมนิยมที่ทันสมัย เร่งพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในท้องที่ที่ ปก ครองตนเองให้เร็วขึ้นและสร้างสรรค์ท้องที่ที่ปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อยที่สมานสามัคคีกันและเจริญรุ่งเรือง ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ระหว่างการปฏิบัติเป็นเวลาหลายสิบปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ของจีนได้ก่อรูปขึ้นซึ่งทรรศนะและนโยบายพื้นฐานเกี่ยวกับปัญหาทางชนชาติหลายประการที่สำคัญได้แก่

  • การกำเนิด การพัฒนาและการสูญสลายของชนชาตินั้นเป็นกระบวนการทาง ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ปัญหาชนชาติจะดำรงอยู่เป็นเวลานาน
  • ระยะสังคมนิยมเป็นระยะที่ชนชาติต่าง ๆ ร่วมกันพัฒนาและเจริญรุ่งเรือง ปัจจัย ร่วมกันระหว่างชนชาติต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ลักษณะพิเศษและข้อ แตกต่างระหว่างชนชาติต่าง ๆ จะดำรงอยู่ต่อไป
  • ปัญหาชนชาติเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาทั่วสังคม มีแต่แก้ปัญหาทั่วสังคมให้ลุล่วง ไปเท่านั้น ปัญหาทางชนชาติจึงจะได้รับการแก้ไขอย่างมีขั้นตอน มีแต่ในภารกิจร่วมกัน ที่สร้างสรรค์สังคมนิยมเท่านั้น ปัญหาทางชนชาติของจีนในปัจจุบันจึงจะได้รับการ แก้ไขอย่างมีขั้นตอนได้
  • ชนชาติต่าง ๆ ไม่ว่ามีประชากรมากหรือน้อย มีประวัติยาวหรือสั้นและมีระดับ การพัฒนาสูงหรือต่ำ ต่างก็เคยสร้างคุณูปการเพื่ออารยธรรมของปิตุภูมิ จึงควรมีความ เสมอภาคทั้งนั้น ควรเสริมสร้างความสามัคคีอันยิ่งใหญ่ระหว่างประชาชนชนชาติต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและรักษาเอกภาพแห่งชาติ
  • การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างขนานใหญ่เป็นภาระหน้าที่มูลฐานแห่งสังคมนิยม และก็ เป็นภาระหน้าที่มูลฐานของงานชนชาติของจีนในขั้นตอนปัจจุบัน ชนชาติต่าง ๆ ต้องช่วย เหลือซึ่งกันและกันเพื่อบรรลุซึ่งความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน

การปกครองตนเองในเขตชนชาติส่วนน้อยเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีต่อทฤษฎีชนชาติของลัทธิมาร์กซ และเป็นระบอบมูลฐานในการแก้ปัญหาชนชาติของจีนการพยายามสร้างขบวนเจ้าหน้าที่ชนชาติส่วนน้อยขนาดใหญ่ขนาดหนึ่งที่มีทั้งคุณธรรม และขีดความสามารถเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในการทำงานทางชนชาติให้ดีและแก้ปัญหาทางชนชาติให้ลุล่วงไปปัญหาทางชนชาติกับปัญหาทางศาสนามักจะผสมผสานอยู่ด้วยกันในท้องที่บาง แห่ง ขณะจัดการกับปัญหาทางชนชาติ ยังต้องสังเกตปฏิบัติตามนโยบายทางศาสนา ของรัฐอย่างทั่วด้านและถูกต้องนอกจากนี้ ในขณะเดียวกันกับที่พยายามส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การศึกษาตลอดจนภารกิจอื่น ๆ ของเขตชนชาติส่วนน้อย ยกระดับชีวิตทาง วัตถุและวัฒนธรรมของประชาชนชนชาติส่วนน้อยอันไพศาลซึ่งรวมทั้งชาวศาสนาด้วยให้สูงขึ้น รัฐบาลจีนยังสนใจเคารพความเชื่อถือทางศาสนาของชนชาติส่วนน้อยและรักษา มรดกทางวัฒนธรรมของชนชาติส่วนน้อยเป็นพิเศษ สำรวจ เก็บสะสม ศึกษา จัดให้เป็น ระเบียบและจัดพิมพ์จำหน่ายมรดกทางวัฒนธรรมและศิลปะพื้นเมืองของชนชาติต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งวัฒนธรรมทางศาสนาด้วย รัฐบาลยังได้ลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อซ่อมแซม วัดวาอารามและสิ่งปลูกสร้างทางศาสนาอันสำคัญที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในเขตชนชาติส่วนน้อย

ศาสนา

ประชาชนจีนมีทั้งสิ้น 56 ชนเผ่า ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยนับถือนิกายมหายานและวัชรยานโดยนับถือปนไปกับลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋ากว่า 300 ล้านคน นอกนั้นนับถือนิกายเถรวาท มีนับถือศาสนาอิสลามกว่า 11 ล้านคน และนับถือศาสนาคริสต์อีก5.2 ล้านคน

ภาษา

ภาษาจีนเป็นภาษาเก่าแก่และเป็นภาษาที่คนใช้มากที่สุดภาษาหนึ่ง เป็นภาษาหลักที่คนจีนใช้กันอยู่ ภาษามาตาฐานของภาษาจีน คือ ภาษาจีนกลาง ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวฮั่นใช้กันโดยทั่วไปเป็นภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ และในชนเผ่าต่าง ๆ ของจีน

แม้ชาวจีนทุกคนสามารถใช้ภาษาจีนได้ แต่จากการที่ประเทศจีนมีอาณาเขตที่กว้างขวางทำให้ท้องถิ่นต่าง ๆ มีภาษาพูดที่แตกต่างกัน โดยภาษาพูดที่ใช้กันในแต่ละท้องถื่นคือ ภาษาถิ่น ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ติดต่อกันเฉพาะในท้องถื่น ภาษาท้องถื่นของจีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายภาษา เช่น ภาษาเหนือ ภาษาอู๋ ภาษาเซียง ภาษาก้าน ภาษาแคะ ภาษาหมิ่น ภาษาเย่ว์ ทั้งหมดนี้ภาษาเหนือเป็นภาษาที่มีการใช้กันมากที่สุด

เมืองใหญ่

ดูรายชื่อทั้งหมดที่รายชื่อเมืองในจีนเรียงตามจำนวนประชากร อันดับเมืองขนาดใหญ่ 20 เมืองแรก จัดอันดับตามจำนวนประชากร

กีฬา

ฟุตบอล

มวยสากล

วัฒนธรรม

สถาปัตยกรรม

วรรณกรรม

ดนตรี และ นาฎศิลป์

อาหาร

สื่อสารมวลชน

วันหยุด

  1. วันขึ้นปีใหม่ (元旦)
  2. วันตรุษจีน (春节)
  3. วันเช็งเม้ง (清明节)
  4. วันแรงงาน (劳动节)
  5. วันไหว้บะจ่าง (端午节)
  6. วันไหว้พระจันทร์ (中秋节)
  7. วันชาติ (国庆节)[111]

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

  1. ภาษาจีนและภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการในฮ่องกงเท่านั้น ส่วนภาษาจีนและภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาราชการในมาเก๊าเท่านั้น
  2. Although PRC President is head of state, it is a largely ceremonial office with limited power under CCP General Secretary.
  3. Including both state and party's central military chairs.
  4. Chairman of the Chinese People's Political Consultative Conference.
  5. พื้นที่ที่ระบุเป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติสำหรับแผ่นดินใหญ่ และไม่รวมฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน[4] นอกจากนี้ยังไม่รวมบริเวณทรานส์-คาราโครัม (5,180 km2 (2,000 sq mi)), อักไสชิน (38,000 km2 (15,000 sq mi)) และดินแดนอื่น ๆ ที่มีข้อพิพาทกับอินเดีย พื้นที่ทั้งหมดของจีนระบุว่าเป็น 9,572,900 km2 (3,696,100 sq mi) โดยสารานุกรมบริแทนนิกา[5] สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ดูที่ การเปลี่ยนแปลงดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนจีน
  6. ตัวเลขนี้คำนวณโดยใช้ข้อมูลจากซีไอเอเวิลด์แฟกต์บุ๊ก[7]

อ้างอิง

  1. "Erleichterung von Zuwanderung für Unternehmen vorteilhaft".
  2. "Chinese Religion | Data on Chinese Religions | GRF". www.globalreligiousfutures.org.
  3. "Xi Jinping is making great attempts to 'Sinicize' Marxist–Leninist Thought 'with Chinese characteristics' in the political sphere," states Lutgard Lams, "Examining Strategic Narratives in Chinese Official Discourse under Xi Jinping" Journal of Chinese Political Science (2018) volume 23, pp. 387–411 at p. 395
  4. "Demographic Yearbook—Table 3: Population by sex, rate of population increase, surface area and density" (PDF). UN Statistics. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 24 December 2010. สืบค้นเมื่อ 31 July 2010.
  5. "China". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 16 November 2012.
  6. "Largest Countries in the World by Area – Worldometers". worldometers.info.
  7. 7.0 7.1 Field Listing – Disputes – international เก็บถาวร 2011-05-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, CIA World Factbook
  8. Wee, Sui-Lee (11 May 2021). "China's 'Long-Term Time Bomb': Falling Births Drive Slow Population Growth". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2021. สืบค้นเมื่อ 11 May 2021.
  9. "Population density (people per km2 of land area)". IMF. สืบค้นเมื่อ 16 May 2015.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 "China World Economic Outlook Database: October 2021". International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 27 January 2022.
  11. "China Economic Update, December 2019 : Cyclical Risks and Structural Imperatives" (PDF). openknowledge.worldbank.org. World Bank. p. 21. สืบค้นเมื่อ 3 January 2020. The Gini coefficient, a measure of overall income inequality, declined to 0.462 in 2015, and has since risen to 0.467 in 2018 (Figure 27). Higher income inequality is partly driven by unequal regional income distribution. The eastern coastal regions have been the driver of China's rapid growth, due to its geographic location and the early introduction of reforms. As a result, the eastern coastal region is now home to 38% of the population, and its per capita GDP was 77% higher than that of the central, western, and northeastern regions in 2018. This gap widened further in the first three quarters of 2019. This is in part due to a disproportionate slowdown in interior provinces, which are more dependent on commodities and heavy industry. The slowdown has been negatively affected by structural shifts, especially necessary cuts in overcapacity (Figure 28).
  12. "Human Development Report 2020" (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. สืบค้นเมื่อ 15 December 2020.
  13. "Rivers and Lakes". China.org.cn. สืบค้นเมื่อ 15 June 2009.
  14. "Country profile: China". BBC News. 1 July 2009. สืบค้นเมื่อ 14 July 2009.
  15. Altucher, James (8 January 2010). "There's no stopping China". New York Post. สืบค้นเมื่อ 2 August 2010.
  16. Muldavin, Joshua (9 February 2006). "From Rural Transformation to Global Integration: The Environmental and Social Impacts of China's Rise to Superpower". Carnegie Endowment for International Peace. สืบค้นเมื่อ 17 January 2010.
  17. (Lt Colonel, USAF) Uckert, Merri B. (April 1995). "China as an Economic and Military Superpower: A Dangerous Combination?" (PDF). Maxwell Air Force Base, Alabama: Air War College, Air University: 33. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-01-15. สืบค้นเมื่อ 2011-04-21. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  18. Bergsten, C. Fred; Gill, Bates; Lardy, Nicholas R.; Mitchell, Derek (17 April 2006). China: The Balance Sheet: What the World Needs to Know about the Emerging Superpower (Illustrated Hardcover ed.). PublicAffairs. p. 224. ISBN 9781586484644.
  19. "The People's Republic of China" (7 September 2005). Foreign & Commonwealth Office
  20. "Population by Sex, Rate of Population Increase, Surface Area and Density" (PDF). Demographic Yearbook 2005. UN Statistics Division. สืบค้นเมื่อ 25 March 2008.
  21. "United States". Encyclopedia Britannica. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-29. สืบค้นเมื่อ 25 March 2008.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  22. China, Tajikistan sign border agreement
  23. "Beijing hit by eighth sandstorm". BBC news. Retrieved 17 April 2006.
  24. "The gathering sandstorm: Encroaching desert, missing water เก็บถาวร 2008-04-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". The Independent. 9 November 2007.
  25. "Himalaya glaciers melting much faster". Msnbc.msn.com. 24 November 2008.
  26. "Biodiversity Theme Report". Environment.gov.au. 10 December 2009. สืบค้นเมื่อ 27 April 2010.
  27. Countries with the Highest Biological Diversity เก็บถาวร 26 มีนาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Mongabay.com. 2004 data. Retrieved 24 April 2013.
  28. 28.0 28.1 David Leffman, Simon Lewis, Jeremy Atiyah. Rough guide to China. สืบค้น 24-4-2011.
  29. Ma Xiaoying (2002) [2000]. Environmental Regulation in China. Rowman & Littlefield Publishers. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |month= ถูกละเว้น (help)
  30. Sinkule, Barbara J., Implementing Environmental Policy in China, Praeger Publishers, 1995, ISBN 0-275-94980-X
  31. Ma, Jun Li, Naomi (2006). "Tackling China's Water Crisis Online". www.chinadialogue.net. สืบค้นเมื่อ 18 February 2007.{{cite web}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  32. "300 million Chinese drinking unsafe water". People's Daily Online. 23 December 2004. สืบค้นเมื่อ 27 March 2009.
  33. By LISA FRIEDMAN of ClimateWire (25 March 2010). "China Leads Major Countries With $34.6 Billion Invested in Clean Technology". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 27 April 2010.
  34. Black, Richard (26 March 2010). "China steams ahead on clean energy". BBC News. สืบค้นเมื่อ 27 April 2010.
  35. Bradsher, Keith, 30 January 2010, China leads global race to make clean energy, New York Times
  36. Esherick, Joseph W. (1976). Reform and revolution in China: the 1911 revolution in Hunan and Hubei. Berkeley: University of California Press. ISBN 978-0-520-03084-8.
  37. The Chinese people have stood up เก็บถาวร 2009-02-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. UCLA Center for East Asian Studies. Retrieved 16 April 2006.
  38. Smith, Joseph; and Davis, Simon. [2005] (2005). The A to Z of the Cold War. Issue 28 of Historical dictionaries of war, revolution, and civil unrest. Volume 8 of A to Z guides. Scarecrow Press publisher. ISBN 0-8108-5384-1, 9780810853843.
  39. Akbar, Arifa (17 September 2010). "Mao's Great Leap Forward 'killed 45 million in four years'". London: The Independent. สืบค้นเมื่อ October 30, 2010.
  40. Hart-Landsberg, Martin; and Burkett, Paul. "China and Socialism. Market Reforms and Class Struggle". Retrieved 30 October 2008.
  41. Youngs, R. The European Union and the Promotion of Democracy. Oxford University Press, 2002. ISBN 978-0-19-924979-4.
  42. Carroll, J. M. A Concise History of Hong Kong. Rowman & Littlefield, 2007. ISBN 978-0-7425-3422-3.
  43. Nation bucks trend of global poverty (11 July 2003). China Daily
  44. China's Average Economic Growth in 90s Ranked 1st in World (1 March 2000). People's Daily.
  45. China worried over pace of growth. BBC. Retrieved 16 April 2006.
  46. China: Migrants, Students, Taiwan. Migration News. January 2006.
  47. In Face of Rural Unrest, China Rolls Out Reforms. The Washington Post. 28 January 2006.
  48. "Frontline: The Tank Man transcript". Frontline. PBS. 11 April 2006. สืบค้นเมื่อ 12 July 2008.
  49. "China frees up bank lending rates". BBC News. 19 July 2013. สืบค้นเมื่อ 19 July 2013.
  50. Evans-Pritchard, Ambrose (23 July 2013). "China eyes fresh stimulus as economy stalls, sets 7pc growth floor". The Daily Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 January 2022. สืบค้นเมื่อ 25 July 2013.
  51. Davies, Gavyn (25 November 2012). "The decade of Xi Jinping". Financial Times. สืบค้นเมื่อ 27 November 2012.
  52. "China orders government debt audit". BBC News. 29 July 2013. สืบค้นเมื่อ 29 July 2013.
  53. Joong, Shik Kang; Wei, Liao (May 2016). "Chinese Imports: What's Behind the Slowdown?" (PDF). International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 28 May 2018.
  54. Yglesias, Matthew (15 November 2013). "China ends one child policy". Slate. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 November 2013. สืบค้นเมื่อ 16 November 2013.
  55. "China's president boosts anti-corruption crackdown after nabbing 1.5M". NBC News.
  56. "Belt and Road Initiative". World Bank. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 February 2019. สืบค้นเมื่อ 10 March 2019.
  57. Sheikh, Knvul; Rabin, Roni Caryn (10 March 2020). "The Coronavirus: What Scientists Have Learned So Far". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 24 March 2020.
  58. Normile, Dennis (19 November 2021). "'Zero COVID' is getting harder—but China is sticking with it". Science. 374 (6570): 924. Bibcode:2021Sci...374..924N. doi:10.1126/science.acx9657. eISSN 1095-9203. ISSN 0036-8075. PMID 34793217. S2CID 244403712.
  59. "China's economy continues to bounce back from virus slump". BBC News. 19 October 2020. สืบค้นเมื่อ 9 January 2021.
  60. "China's economic recovery continues but signals mixed in October". Nikkei Asia. สืบค้นเมื่อ 9 January 2021.
  61. 61.0 61.1 61.2 "Constitution of the People's Republic of China". The National People's Congress of the People's Republic of China. 20 November 2019. สืบค้นเมื่อ 20 March 2021.
  62. "CCP's use of courts to silence peaceful dissent is hallmark of authoritarian regimes: US". Asian News International. สืบค้นเมื่อ 9 December 2020.
  63. Unger, Jonathan; Chan, Anita (January 1995). "China, Corporatism, and the East Asian Model". The Australian Journal of Chinese Affairs. 33 (33): 29–53. doi:10.2307/2950087. JSTOR 2950087. S2CID 151206422.
  64. "Freedom in the World 2011: China". Freedom House. 2011. สืบค้นเมื่อ 19 June 2013.
  65. "The Development of Socialist Consultative Democracy in China". english.qstheory.cn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 March 2017. สืบค้นเมื่อ 13 May 2018.
  66. Truex, Rory (28 October 2016). Making Autocracy Work (ภาษาอังกฤษ). Cambridge University Press. ISBN 978-1-107-17243-2.
  67. Mattingly, Daniel C. (5 December 2019). The Art of Political Control in China (ภาษาอังกฤษ). Cambridge University Press. ISBN 978-1-316-99791-8.
  68. Tang, Wenfang (4 January 2016). Populist Authoritarianism: Chinese Political Culture and Regime Sustainability (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. ISBN 978-0-19-049081-2.
  69. Nathan, Andrew J.; Diamond, Larry; Plattner, Marc F. (1 September 2013). Will China Democratize? (ภาษาอังกฤษ). Johns Hopkins University Press+ORM. ISBN 978-1-4214-1244-3.
  70. Teets, Jessica C. (9 June 2014). Civil Society under Authoritarianism: The China Model (ภาษาอังกฤษ). Cambridge University Press. ISBN 978-1-107-03875-2.
  71. Heurlin, Christopher (27 October 2016). Responsive Authoritarianism in China: Land, Protests, and Policy Making (ภาษาอังกฤษ). Cambridge University Press. ISBN 978-1-108-10780-8.
  72. "Consultative Democracy, People's Democracy". chinatoday.com.cn. สืบค้นเมื่อ 26 March 2020.
  73. "Xi reiterates adherence to socialism with Chinese characteristics". Xinhua News Agency. 5 January 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2016. สืบค้นเมื่อ 14 January 2020.
  74. 74.0 74.1 Wei, Changhao (11 March 2018). "Annotated Translation: 2018 Amendment to the P.R.C. Constitution (Version 2.0)". NPC Observer. สืบค้นเมื่อ 22 August 2019.
  75. Hernández, Javier C. (25 October 2017). "China's 'Chairman of Everything': Behind Xi Jinping's Many Titles". The New York Times. ISSN 0362-4331. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2017. สืบค้นเมื่อ 14 January 2020. Mr. Xi's most important title is general secretary, the most powerful position in the Communist Party. In China's one party system, this ranking gives him virtually unchecked authority over the government.
  76. Phillips, Tom (24 October 2017). "Xi Jinping becomes most powerful leader since Mao with China's change to constitution". The Guardian. ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 October 2017. สืบค้นเมื่อ 24 October 2017.
  77. "Democratic Parties". People's Daily. สืบค้นเมื่อ 8 December 2013.
  78. "How China is Ruled: National People's Congress". BBC News. สืบค้นเมื่อ 14 July 2009.
  79. Alexander Baturo; Robert Elgie (2019). The Politics of Presidential Term Limits. Oxford University Press. p. 263. ISBN 978-0-19-883740-4.
  80. Matthew Kroenig (2020). The Return of Great Power Rivalry: Democracy Versus Autocracy from the Ancient World to the U. S. and China. Oxford University Press. pp. 176–177. ISBN 978-0-19-008024-2.
  81. Susan Shirk (13 November 2012). "China's Next Leaders: A Guide to What's at Stake". China File. สืบค้นเมื่อ 31 May 2015.
  82. Moore, Malcolm (15 November 2012). "Xi Jinping crowned new leader of China Communist Party". The Daily Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 January 2022. สืบค้นเมื่อ 15 November 2012.
  83. Gwillim Law (2 April 2005). Provinces of China. Retrieved 15 April 2006.
  84. "China's Great Leap Forward". The University of Chicago Chronicle. 14-03-1996. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  85. China must be cautious in raising consumption China Daily. Retrieved on February 8, 2009.
  86. China jumps to world's No 3 economy เก็บถาวร 2009-07-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน The Australian. Retrieved on January 21, 2009.
  87. GDP growth 1952-2007 เก็บถาวร 2013-07-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Chinability เก็บถาวร 2009-03-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Retrieved on 2008-10-16.
  88. China's GDP grows by seven-year low of 9% in 2008 Xinhua News Agency. Retrieved on January 27, 2009.
  89. World Economic Outlook Database International Monetary Fund (April 2008). Retrieved on 27 July 2008.
  90. China forex reserves exceed 1.9 trillion U.S. dollars Xinhua (14 October 2008). Retrieved on 21 November 2008.
  91. FDI doubles despite tax concerns Ministry of Commerce of the People's Republic of China (19 February 2008). Retrieved 26 July 2008.
  92. wlc2china ข้อมูลประเทศจีน
  93. Marsh, Peter (13 March 2011). "China noses ahead as top goods producer". Financial Times. สืบค้นเมื่อ 18 January 2020.
  94. Levinson, Marc (21 February 2018). "U.S. Manufacturing in International Perspective" (PDF). Federation of American Scientists.
  95. "Report – S&E Indicators 2018 | NSF – National Science Foundation". www.nsf.gov. สืบค้นเมื่อ 8 July 2019.
  96. Shane, Daniel (23 January 2019). "China will overtake the US as the world's biggest retail market this year". CNN. สืบค้นเมื่อ 18 February 2019.
  97. Fan, Ziyang; Backaler, Joel (17 September 2018). "Five trends shaping the future of e-commerce in China". World Economic Forum. สืบค้นเมื่อ 18 February 2019.
  98. Lipsman, Andrew (27 June 2019). "Global Ecommerce 2019". eMarketer. สืบค้นเมื่อ 28 November 2019.
  99. Huang, Echo. "China buys one out of every two electric vehicles sold globally". Quartz. สืบค้นเมื่อ 18 February 2019.
  100. "Can China's reported growth be trusted?". The Economist. 15 October 2020. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 26 March 2021.
  101. Plekhanov, Dmitriy (2017). "Quality of China's Official Statistics: A Brief Review of Academic Perspectives". The Copenhagen Journal of Asian Studies. Copenhagen Business School. 35 (1): 76. doi:10.22439/cjas.v35i1.5400. ISSN 1395-4199.
  102. Chen, Wei; Chen, Xilu; Hsieh, Chang-Tai; Song, Zheng (2019). A Forensic Examination of China's National Accounts (PDF). Brookings Institution.
  103. Wallace, Jeremy (28 December 2015). "Here's why it matters that China is admitting that its statistics are 'unreliable'". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ 7 March 2021.
  104. Clark, Hunter; Pinkovskiy, Maxim; Sala-i-Martin, Xavier (1 August 2020). "China's GDP growth may be understated". China Economic Review. 62: 101243. doi:10.1016/j.chieco.2018.10.010. ISSN 1043-951X. S2CID 157898394.
  105. Daniel, Rosen; Beibei, Bao (2015). Broken Abacus? A More Accurate Gauge of China's Economy. Center for Strategic and International Studies. pp. X–XV. ISBN 978-1-4422-4084-1. China is bigger, not smaller: Our reassessment suggests that China's 2008 GDP was most likely 13.1 to 16.3 percent larger than official figures indicated at the time"
  106. "China's GDP Growth May Be Understated" (PDF). National Bureau of Economic Research. April 2017. สืบค้นเมื่อ 15 March 2021.
  107. Chandran, Nyshka (16 October 2015). "These guys think China's economy is much larger". CNBC. สืบค้นเมื่อ 15 March 2021.
  108. "Is China Already Number One? New GDP Estimates". Peterson Institute for International Economics. 13 January 2011. สืบค้นเมื่อ 28 March 2021.
  109. Fernald, John G.; Malkin, Israel; Spiegel, Mark M. (2013). "On the reliability of Chinese output figures". FRBSF Economic Letter.
  110. "Informal economy in China and Mongolia". International Labour Organization. สืบค้นเมื่อ 14 March 2021.
  111. http://www.gov.cn/zhengce/content/2017-11/30/content_5243579.htm

หนังสืออ่านเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

  • ประเทศจีน จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ
  • คู่มือการท่องเที่ยว China จากวิกิท่องเที่ยว (ในภาษาอังกฤษ)