ข้ามไปเนื้อหา

ประเทศแอฟริกาใต้

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้

Republic of South Africa  (อังกฤษ)
ชื่อทางการของประเทศใน 10 ภาษาอื่น ๆ[1]
เมืองหลวง
เมืองใหญ่สุดโจฮันเนสเบิร์ก[4]
ภาษาราชการ11 ภาษา[1]
กลุ่มชาติพันธุ์
(2019[6])
ศาสนา
(2016)[7]
เดมะนิมชาวแอฟริกาใต้
การปกครองรัฐเดี่ยวสาธารณรัฐระบบรัฐสภาโดยมีประธานาธิบดีที่มีอำนาจบริหาร
ไซริล รามาโฟซา
ว่าง
Refilwe Mtsweni-Tsipane
Thoko Didiza
สภานิติบัญญัติรัฐสภา
สภาแห่งชาติ
สมัชชาแห่งชาติ
เอกราช 
31 พฤษภาคม ค.ศ. 1910
11 ธันวาคม ค.ศ. 1931
31 พฤษภาคม ค.ศ. 1961
17 มิถุนายน ค.ศ. 1991
27 เมษายน ค.ศ. 1994
4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997
พื้นที่
• รวม
1,221,037 ตารางกิโลเมตร (471,445 ตารางไมล์) (อันดับที่ 24)
0.380
ประชากร
• 2021 ประมาณ
60,142,978[8] (อันดับที่ 23)
• สำมะโนประชากร 2011
51,770,560[9]: 18 
42.4 ต่อตารางกิโลเมตร (109.8 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 169)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2021 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 862 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 32)
เพิ่มขึ้น 14,239 ดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 96)
จีดีพี (ราคาตลาด) 2021 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 33)
เพิ่มขึ้น 6,861 ดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 89)
จีนี (2014)positive decrease 63.0[11]
สูงมาก
เอชดีไอ (2019)เพิ่มขึ้น 0.709[12]
สูง · อันดับที่ 114
สกุลเงินแรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR)
เขตเวลาUTC+2 (SAST)
รูปแบบวันที่รูปแบบสั้น:
  • วว/ดด/ปปปป[13]
  • วว-ดด-ปปปป[14]
ขับรถด้านซ้าย
รหัสโทรศัพท์+27
รหัส ISO 3166ZA
โดเมนบนสุด.za

ดหกดำหเกพำด

ประวัติศาสตร์

อาณานิคมดัตช์

การรุกรานของบริเตน

สงครามบูร์

ยุทธการที่เนินมาจูบา

สาธารณรัฐบูร์ได้รับชัยชนะจากการรุกรานของอังกฤษในช่วงสงครามบูร์ครั้งที่หนึ่ง (1880-1881) โดยใช้ยุทธวิธีการรบแบบกองโจรซึ่งเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น กองทัพอังกฤษกลับมาพร้อมกับกองกำลังที่มากขึ้น ประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น และกลยุทธ์ใหม่ในสงครามบูร์ครั้งที่สอง (1899-1902) และแม้ว่ากองทัพอังกฤษจะได้รับบาดเจ็บหนักเนื่องจากการสู้รบที่ดุเดือด แต่ในที่สุดก็ได้รับชัยชนะ ผู้หญิงและเด็กชาวบูร์มากกว่า 27,000 คนเสียชีวิตในค่ายกักกันของอังกฤษ[15]

ประชากรในเมืองของแอฟริกาใต้เติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ภายหลังความเสียหายจากสงคราม เกษตรกรชาวบูร์ที่มีเชื้อสายดัตช์ได้หนีเข้าไปในเมืองต่างๆ จากดินแดนทรานส์วาลและเสรีรัฐออเรนจ์ และกลายเป็นชนชั้นยากจนในแอฟริกาใต้[16]

จุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกสีผิว

"สำหรับใช้โดยคนผิวขาว" – ป้ายถือผิวซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาอาฟรีกานส์

ใน ค.ศ. 1948 พรรคเนชั่นแนล (National Party) ชนะการเลือกตั้ง และได้เริ่มทำการส่งเสริมนโยบายแบ่งแยกเชื้อชาติ ซึ่งริเริมมาตั้งแต่สมัยเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์และบริเตน โดยยึดเอาพระราชบัญญัติอินเดียน ของแคนาดาเป็นแบบอย่าง[17] รัฐบาลชาตินิยม ได้จำแนกประชาชนออกเป็นสามเชื้อชาติ โดยเชื้อชาติทั้งสามจะมีสิทธิและข้อจำกัดต่างกันออกไป ชนกลุ่มน้อยผิวขาว (น้อยกว่า 20% จากประชากรทั้งหมด)[18] ควบคุมประชากรผิวสีซึ่งมีจำนวนมากกว่า การแบ่งแยกสีผิวอย่างถูกต้องตามกฎหมายนี้กลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ การถือผิว ในขณะชาวผิวขาวมีมาตราฐานการครองชีพ สูงที่สุดในทวีปแอฟริกา สามารถเทียบได้กับชาติตะวันตกโลกที่หนึ่ง ประชากรผิวสีซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศกลับด้อยกว่าในทุกทาง รวมไปถึงรายได้ การศึกษา การเคหะ และอายุคาดเฉลี่ย กฎบัตรเสรีภาพ ซึ่งได้ถูกรับเอามาใช้โดยพันธมิตรคองเกรส ค.ศ. 1955 เรียกร้องถึงสังคมที่ไร้การแบ่งแยกเชื้อชาติ และยุติการเลือกปฏิบัติ


การเมืองการปกครอง

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ความสัมพันธ์กับประเทศไทย

ความสัมพันธ์แอฟริกาใต้ – ไทย
Map indicating location of แอฟริกาใต้ and ไทย

แอฟริกาใต้

ไทย

สาธารณรัฐแอฟริกาใต้กับราชอาณาจักรไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2536 แอฟริกาใต้มีสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยที่กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ แอฟริกาใต้ยังได้แต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ และมีเขตอาณาทางการกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงรายอีกด้วย[19] และประเทศแอฟริกาใต้มีสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพริทอเรีย

แอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีความสำคัญที่สุดประเทศหนึ่งสำหรับไทยในทวีปแอฟริกา โดยเป็นหุ้นส่วนหลักทางยุทธศาสตร์ของไทยทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

จุดสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเกิดขึ้นเมื่ออดีตประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา เดินทางเยือนประเทศไทยและได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อปี 2539 ซึ่งนับว่าเป็นการแสดงถึงจุดสูงสุดของไมตรีจิตรและมิตรภาพที่มีอยู่ระหว่างประชาชนของสองประเทศ[20]

แอฟริกาใต้เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของประเทศไทยในทวีปแอฟริกา และเป็นตลาดส่งออกข้าวที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ และไทยเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของประเทศแอฟริกาใต้ในกลุ่มประเทศอาเซียน

จากการสำรวจของบริษัทนำเที่ยวในแอฟริกาใต้ ประเทศไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเป็นอันดับ 2 ของชาวแอฟริกาใต้ รองจากประเทศมอริเชียส โดยในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวชาวแอฟริกาใต้เดินทางมาประเทศไทยจำนวน 102,713 คน ซึ่งแอฟริกาใต้ถือเป็นตลาดการท่องเที่ยวของไทยที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา[21]

การแบ่งเขตการปกครอง

9 จังหวัดในประเทศแอฟริกาใต้

ประเทศแอฟริกาใต้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 9 จังหวัด (provines-provinsie) โดยแต่ละจังหวัดจะมีเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุด ได้แก่

จังหวัด เมืองหลวง เมืองใหญ่สุด พื้นที่[22] ประชากร [23]
จังหวัดอีสเทิร์นเคป บิโช พอร์ตเอลิซาเบท 168,966 6,829,958
จังหวัดฟรีสเตต บลูมฟอนเทน บลูมฟอนเทน 129,825 2,759,644
จังหวัดเคาเต็ง โจฮันเนสเบิร์ก โจฮันเนสเบิร์ก 18,178 11,328,203
จังหวัดควาซูลู-นาตัล ปีเตอร์มาริตซ์เบิร์ก เดอร์บัน 94,361 10,819,130
จังหวัดลิมโปโป โพโลเควน โพโลเควน 125,754 5,554,657
จังหวัดพูมาลังกา เนลสไปรต์ เนลสไปรต์ 76,495 3,657,181
จังหวัดนอร์ทเวสต์ มาเฮเคง รุสเทนเบิร์ก 104,882 3,253,390
จังหวัดนอร์เทิร์นเคป คิมเบอร์เลย์ คิมเบอร์เลย์ 372,889 1,096,731
จังหวัดเวสเทิร์นเคป เคปทาวน์ เคปทาวน์ 129,462 5,287,863

โครงสร้างพื้นฐาน

การศึกษา

ปัญหาด้านการศึกษาของชาวแอฟริกาใต้ ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่และสำคัญที่สุด เพราะหากชาวแอฟริกาใต้ได้รับการศึกษาที่ดีแน่นอนว่าย่อมจะได้รับการพัฒนาประชากร เมื่อคนได้รับความรู้ ก็สามารถที่จะนำความรู้ที่ได้นี้ไปปรับใช้เพื่อนำไปพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัย สภาพความเป็นอยู่ รวมทั้งการนำไปพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของตนเองและครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ชาวแอฟริกาใต้ต้องการมากไม่แพ้ในสิ่งอื่นใดนั่นก็คือการศึกษา ในปัจจุบันการศึกษาจะถูกจำกัดไว้แค่คนที่มีฐานะเท่านั้น ส่วนคนจนแทบจะไม่ได้รับการศึกษาหรือได้รับการศึกษาที่น้อยมาก

ประชากรศาสตร์

เชื้อชาติ

ชาวผิวขาว เป็นชาวยุโรป ที่สืบเชื้อสายจากชาวดัตช์, ชาวอังกฤษ และชาวฝรั่งเศส ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในแอฟริกาใต้ ปัจจุบันเรียกว่าชาวอาฟรีกาเนอร์ ชาวผิวสี เป็นชาวเลือดผสมระหว่างชาวอาฟรีกาเนอร์, ชาวพื้นเมือง, และชาวมลายูที่อพยพเข้ามา ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดเวสเทิร์นเคป และชาวพื้นเมืองเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของทวีปแอฟริกา เช่น ชาวซูลู เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีชาวอินเดียที่ส่วนมากอาศัยอยู่ในจังหวัดควาซูลู-นาตัล อีกด้วย

ศาสนา

คริสต์ร้อยละ 79.77% ไม่มีศาสนา 15.1% อิสลาม 1.46% พราหมณ์-ฮินดู 1.25% พุทธ 1.15%และอื่นๆอีก 1.42%

ภาษา

ประเทศแอฟริกาใต้มีภาษาราชการ 11 ภาษา ได้แก่ ภาษาอาฟรีกานส์, ภาษาอังกฤษ, ภาษาซูลู, ภาษาโชซา, ภาษาสวาตี, ภาษาเอ็นเดเบลี, ภาษาซูทูใต้, ภาษาซูทูเหนือ, ภาษาซองกา, ภาษาสวันนา และภาษาเวนดา ชาวแอฟริกาใต้ส่วนใหญ่สามารถใช้ภาษาอาฟรีกานส์และภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้

กีฬา

ฟุตบอล

ฟุตบอลทีมชาติแอฟริกาใต้ (อังกฤษ: South Africa national football team) หรือ บาฟานา บาฟานา (Bafana Bafana มีความหมายว่าเด็กชาย) เป็นตัวแทนทีมฟุตบอลจากประเทศแอฟริกาใต้ อยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมฟุตบอลแอฟริกาใต้ (SAFA) ทีมกลับมาเล่นระดับโลกในปี 1992 หลังจากหลายปีที่ถูกฟีฟ่าแบนจากนโยบายการแบ่งแยกสีผิว และในปี 2010 แอฟริกาใต้เป็นประเทศแรกของทวีปแอฟริกาที่เป็นเจ้าภาพ ฟุตบอลโลก 2010 เดือนมิถุนายน ซิฟิเว่ ชาบาลาล่ายังเป็นคนแรกที่ทำประตูให้กับทีมชาติแอฟริกาใต้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ทีมชาติแอฟริกาใต้ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้ชนะการแข่งขันแอฟริกาคัพออฟเนชันส์ ในปี 1996 ที่ประเทศตนเองเป็นเจ้าภาพ

รักบี้

กีฬารักบี้เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในแอฟริกาใต้อย่างมากพอๆกับฟุตบอล ทีมชาติแอฟริกาใต้เป็นทีมรักบี้ที่เก่งระดับโลกและมีผู้เล่นมากฝีมือมากมาย เช่น Percy Montgomery นักรักบี้ทีมชาติแอฟริกาใต้ที่เกิดในประเทศนามิเบีย

วัฒนธรรม

เครื่องดนตรีพื้นเมือง

เครื่องดนตรีพื้นเมืองคือวูวูเซลา (อังกฤษ: vuvuzela, เป็นภาษาซูลู แปลว่า ทำให้เกิดเสียงดัง) หรือในบางครั้งเรียก เลปาตาตา (Lepatata ในภาษาสวานา) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าคล้ายทรัมเป็ต เป็นเครื่องดนตรีและวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองแอฟริกาใต้ มีความยาวประมาณ 1 เมตร เสียงของวูวูเซลา เป็นไปในลักษณะดังกึกก้อง คล้ายเสียงร้องของช้าง (บ้างก็บอกว่าคล้ายแมลงหวี่) และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2009 และฟุตบอลโลก 2010

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 The Constitution of the Republic of South Africa (PDF) (2013 English version ed.). Constitutional Court of South Africa. 2013. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 August 2018. สืบค้นเมื่อ 17 April 2020.
  2. 2.0 2.1 2.2 "South Africa | History, Capital, Flag, Map, Population, & Facts". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2019. สืบค้นเมื่อ 15 June 2020.
  3. "South Africa at a glance | South African Government". www.gov.za. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 May 2020. สืบค้นเมื่อ 18 June 2020.
  4. "Principal Agglomerations of the World". Citypopulation.de. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 December 2018. สืบค้นเมื่อ 30 October 2011.
  5. The Constitution of the Republic of South Africa (PDF) (2013 English version ed.). Constitutional Court of South Africa. 2013. ch. 1, s. 6. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 August 2018. สืบค้นเมื่อ 17 April 2020.
  6. "Mid-year population estimates" (PDF). Statistics South Africa. 29 July 2019. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2019. สืบค้นเมื่อ 29 July 2019.
  7. "South Africa – Community Survey 2016". www.datafirst.uct.ac.za. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 November 2018. สืบค้นเมื่อ 25 November 2018.
  8. "Mid-year population estimates" (PDF). Statistics South Africa. 19 July 2021. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2019. สืบค้นเมื่อ 19 July 2021.
  9. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ cib11
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 "World Economic Outlook Database, October 2021". International Monetary Fund. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2021. สืบค้นเมื่อ 15 October 2021.
  11. "Gini Index". World Bank. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 May 2020. สืบค้นเมื่อ 25 September 2018.
  12. "Human Development Report 2020" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). United Nations Development Programme. December 15, 2020. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 December 2020. สืบค้นเมื่อ December 15, 2020.
  13. "Data Source Comparison for en-ZA". www.localeplanet.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 August 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-05-05.
  14. "Data Source Comparison for af-ZA". www.localeplanet.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-05-05.
  15. "5 of the worst atrocities carried out by the British Empire". The Independent. 19 January 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2019. สืบค้นเมื่อ 22 September 2019.
  16. Ogura, Mitsuo (1996). "Urbanization and Apartheid in South Africa: Influx Controls and Their Abolition". The Developing Economies (ภาษาอังกฤษ). 34 (4): 402–423. doi:10.1111/j.1746-1049.1996.tb01178.x. ISSN 1746-1049. PMID 12292280.
  17. Gloria Galloway, "Chiefs Reflect on Apartheid", The Globe and Mail, 11 December 2013
  18. Beinart, William (2001). Twentieth-century South Africa. Oxford University Press. p. 202. ISBN 978-0-19-289318-5.
  19. "ข้อมูลความสัมพันธ์ทวิภาคี : ไทย - แอฟริกาใต้". Thai Embassy Pretoria. 13 มกราคม 2561.
  20. "ความสัมพันธ์ไทย-แอฟริกาใต้". Thai Embassy Pretoria. 19 พฤศจิกายน 2555.
  21. "ททท.ลุยตลาดแอฟริกาใต้ อัพยอดนักท่องเที่ยวมาไทยปีหน้าพุ่ง". มติชน. 11 เมษายน 2562.
  22. Stats in Brief, 2010 (PDF). Pretoria: Statistics South Africa. 2010. p. 3. ISBN 978-0-621-39563-1.
  23. Mid-year population estimates, 2011 (PDF) (Report). Statistics South Africa. 2011.

แหล่งข้อมูลอื่น

รัฐบาล
การศึกษา
ข้อมูลทั่วไป
ด้านการท่องเที่ยว