สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยทรานส์คอเคเซีย
สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตย ทรานส์คอเคเซีย Закавказская демократическая федеративная республика | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22 เมษายน – 28 พฤษภาคม 1918 | |||||||||||||
เมืองหลวง | ติฟลิส | ||||||||||||
ภาษาทั่วไป | |||||||||||||
การปกครอง | สหพันธรัฐ สาธารณรัฐระบบรัฐสภา ภายใต้รัฐบาลชั่วคราว | ||||||||||||
• ประธานสภาเซย์ม | นีโคไล ชเฮอิดเซ | ||||||||||||
• นายกรัฐมนตรี | อะคากี ชเฮนเคลี | ||||||||||||
สภานิติบัญญัติ | สภาเซย์มทรานส์คอเคเซีย | ||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | การปฏิวัติรัสเซีย | ||||||||||||
• ประกาศจัดตั้งสหพันธ์ | 22 เมษายน 1918 | ||||||||||||
• จอร์เจียประกาศเอกราช | 26 พฤษภาคม 1918 | ||||||||||||
• อาร์มีเนียและอาเซอร์ไบจานประกาศเอกราช | 28 พฤษภาคม 1918 | ||||||||||||
สกุลเงิน | รูเบิลทรานส์คอเคเซีย (ru)[2] | ||||||||||||
|
สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยทรานส์คอเคเซีย (TDFR;[a] 22 เมษายน – 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1918) [b] เป็นรัฐที่มีอยู่เป็นเวลาสั้น ๆ ในภูมิภาคคอเคซัส โดยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศอาร์มีเนีย, ประเทศอาเซอร์ไบจาน และประเทศจอร์เจียในปัจจุบัน รวมถึงพื้นที่บางส่วนของประเทศรัสเซียและตุรกีด้วย รัฐดำรงอยู่เพียงหนึ่งเดือนก่อนที่จอร์เจียจะประกาศอิสรภาพ ตามมาด้วยอาร์มีเนียและอาเซอร์ไบจานหลังจากนั้นไม่นาน
พื้นที่ของสหพันธ์สาธารณรัฐเดิมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งจักรวรรดิได้ล่มสลายในช่วงระหว่างการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ใน ค.ศ. 1917 และทำให้รัฐบาลเฉพาะกาลได้เข้ายึดครองอำนาจแทน เช่นเดียวกันกับในภูมิภาคคอเคซัส ที่มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกาลที่เรียกว่า "คณะกรรมการพิเศษทรานส์คอเคเซีย (โอซาคอม)" ภายหลังจากการปฏิวัติเดือนตุลาคมและการเถลิงอำนาจของบอลเชวิคในรัสเซีย คณะกรรมาธิการทรานส์คอเคเซียจึงได้เข้ามาแทนที่โอซาคอมในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งยังคงดำเนินต่อไป คณะกรรมาธิการได้เริ่มการเจรจาสันติภาพกับจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้ทำการรุกรานภูมิภาคคอเคซัสอยู่ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากทางจักรวรรดิออตโตมันปฏิเสธที่จะยอมรับอำนาจของคณะกรรมาธิการ สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ซึ่งได้ยุติการมีส่วนร่วมของรัสเซียในสงคราม ยอมให้ดินแดนทรานส์คอเคซัสบางส่วนตกเป็นของจักรวรรดิออตโตมัน เมื่อต้องเผชิญภัยคุกคามที่ใกล้เข้ามานี้ ทำให้ในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1918 คณะกรรมาธิการได้ประกาศยุบสภาและสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยทรานส์คอเคเซียขึ้นเป็นรัฐอิสระ และได้ก่อตั้งสภานิติบัญญัติหรือสภาเซย์ม (Seim) เพื่อเจรจาโดยตรงกับจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้ยอมรับความเป็นเอกราชของสหพันธ์โดยทันที
จุดประสงค์ที่แตกต่างกันของทั้งสามกลุ่มชาติพันธุ์หลัก (ชาวอาร์มีเนีย, ชาวอาเซอร์ไบจาน,[c] และชาวจอร์เจีย) ถือเป็นอันตรายอย่างรวดเร็วต่อการดำรงอยู่ของสหพันธ์ การเจรจาสันติภาพได้พังทลายลงอีกครั้งและต้องเผชิญกับการรุกรานของจักรวรรดิออตโตมันในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1918 ผู้แทนชาวจอร์เจียในสภาเซมได้ประกาศว่าสหพันธ์สาธารณรัฐไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ต่อไปได้ และประกาศให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยจอร์เจียเป็นเอกราชเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม เนื่องด้วยจอร์เจียไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์อีกต่อไป จึงทำให้สาธารณรัฐอาร์มีเนียและสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาเซอร์ไบจานต่างก็ประกาศตนเองเป็นรัฐเอกราชเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ถือเป็นการสิ้นสุดสหพันธ์ เนื่องจากการดำรงอยู่เพียงระยะเวลาสั้น ๆ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยทรานส์คอเคเซียจึงมักถูกลืมเลือนในประวัติศาสตร์ระดับชาติของภูมิภาคนี้ แต่โดยพื้นฐานแล้วถือว่าเป็นกระบวนการขั้นแรกของรัฐทั้งสามที่พยายามประกาศอิสรภาพตนเอง
ประวัติศาสตร์
ภูมิหลัง
พื้นที่ส่วนใหญ่ของภูมิภาคเซาท์คอเคซัสถูกผนวกรวมเข้ากับจักรวรรดิรัสเซียในช่วงครึ่งกลางของคริสต์ศตวรรษที่ 19[8] ได้มีการจัดตั้งเขตอุปราชคอเคเซียขึ้นใน ค.ศ. 1801 เพื่อกระจายอำนาจการปกครองจากรัสเซียสู่ภูมิภาคได้โดยตรง และในช่วงหลายทศวรรษถัดมา อำนาจในการปกครองตนเองของเขตอุปราชลดลง และอำนาจก็ถูกรวมเข้าสู่ศูนย์กลางรัสเซียมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม เขตอุปราชได้รับอำนาจเพิ่มมากขึ้นใน ค.ศ. 1845[9] โดยเมืองติฟลิส (ปัจจุบันคือ ทบิลีซี) ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรคาร์ทลี–กาเฆที ได้กลายเป็นศูนย์กลางของเขตอุปราชและเมืองหลวงโดยพฤตินัยของภูมิภาคนี้[10] ภูมิภาคเซาท์คอเคซัสส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นพื้นที่ชนบทอย่างท่วมท้น ยกเว้นเมืองสำคัญอย่างติฟลิสและบากู[d][11] ซึ่งเติบโตขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อภูมิภาคเริ่มส่งออกน้ำมันและกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ[12] ภูมิภาคนี้มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์เป็นอย่างมาก โดยมีสามกลุ่มชาติพันธุ์หลัก ได้แก่ ชาวอาร์มีเนีย ชาวอาเซอร์ไบจาน และชาวจอร์เจีย ส่วนชาวรัสเซียนั้นเริ่มมีจำนวนมากขึ้นภายหลังจากที่จักรวรรดิรัสเซียได้ผนวกภูมิภาคนี้[13]
จากการประทุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งใน ค.ศ. 1914 ภูมิภาคคอเคซัสได้กลายเป็นสมรภูมิหลักของการต่อสู้ระหว่างรัสเซียและจักรวรรดิออตโตมัน[14] กองทัพรัสเซียได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องและเริ่มรุกรานดินแดนของจักรวรรดิออตโตมัน อย่างไรก็ตาม ทางการรัสเซียกังวลว่าประชากรท้องถิ่น ซึ่งส่วนมากเป็นชาวมุสลิม จะให้การสนับสนุนสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 5 และหันมาต่อต้านกองทัพรัสเซีย เนื่องจากสุลต่านทรงเป็นกาหลิบ ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของศาสนาอิสลาม[15] ทั้งสองฝ่ายพยายามปลุกปั่นชาวอาร์มีเนียที่อยู่บริเวณชายแดนเพื่อให้เกิดการลุกฮือขึ้น[16] อย่างไรก็ตาม หลังความพ่ายแพ้ทางทหารของจักรวรรดิออตโตมัน รัฐบาลออตโตมันได้หันมาต่อต้านชาวอาร์มีเนียเสียเอง และกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน ค.ศ. 1915, ซึ่งมีชาวอาร์มีเนียประมาณ 1 ล้านคนที่ถูกสังหาร[17][18]
หลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ใน ค.ศ. 1917 ทำให้จักรวรรดิรัสเซียล่มสลายลงและได้มีการประกาศจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นในรัสเซีย ในช่วงแรก เจ้าอุปราชแห่งคอเคซัส แกรนด์ดยุกนีโคไล ได้แสดงความสนับสนุนรัฐบาลใหม่อย่างเปิดเผย แต่ต่อมาพระองค์ถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งเมื่ออำนาจของจักรพรรดิถูกล้มล้าง[19] ทางรัฐบาลชั่วคราวได้จัดตั้งคณะปกครองชั่วคราวขึ้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ "คณะกรรมการพิเศษทรานส์คอเคเซีย" (ชื่อย่อในภาษารัสเซียคือ "โอซาคอม"[e]) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1917 [ตามปฎิทินเก่า: 9 มีนาคม] ซึ่งภายในคณะประกอบไปด้วยเหล่าผู้แทนแห่งคอเคเซียจากสภาดูมา (สภานิติบัญญัติรัสเซีย) และผู้นำท้องถิ่นอื่น ๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำหน้าที่เป็น "คณะอุปราช" และเหล่าผู้แทนของคณะต่างก็มาจากกลุ่มชาติพันธุ์หลักของภูมิภาคนี้ทั้งสิ้น[21][22] เช่นเดียวกับในเปโตรกราด[f] ที่ระบบอำนาจควบคู่ได้ก่อตัวขึ้น เนื่องจากความพยายามชิงดีชิงเด่นกันระหว่างโอซาคอมและสภาโซเวียต[g][24] แต่ด้วยการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยจากรัฐบาลในเปโตรกราด จึงเป็นเรื่องยากที่โอซาคอมจะมีอำนาจเหนือสภาโซเวียต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาโซเวียตติฟลิส[25]
คณะกรรมาธิการทรานส์คอเคเซีย
เมื่อข่าวการปฏิวัติเดือนตุลาคม ซึ่งนำไปสู่การเถลิงอำนาจของบอลเชวิคในเปโตรกราดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 [ตามปฎิทินเก่า: 25 ตุลาคม] ได้แพร่กระจายไปยังคอเคซัสในวันต่อมา สภาโซเวียตติฟลิสจึงจัดประชุมและประกาศต่อต้านบอลเชวิคโดยทันที สามวันต่อมา นอย จอร์ดาเนีย ซึ่งเป็นสมาชิกเมนเชวิคชาวจอร์เจีย ได้เสนอแนวคิดการปกครองตนเองของรัฐบาลท้องถิ่น โดยอ้างว่าการยึดอำนาจของบอลเชวิคกระทำอย่างผิดกฎหมาย และทางคอเคซัสไม่ควรปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขาและควรรอจนกว่าจะมีการกลับคืนระเบียบ[26] จากการประชุมเพิ่มเติมของเหล่าผู้แทนจากสภาโซเวียตติฟลิส โอซาคอม และคณะอื่น ๆ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 15 พฤศจิกายน] ได้มีการตัดสินใจยุติบทบาทของโอซาคอม และแทนที่ด้วยคณะปกครองใหม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ คณะกรรมาธิการทรานส์คอเคเซีย ซึ่งปฏิเสธที่จะยอมนอบน้อมต่อบอลเชวิค ภายในคณะประกอบไปด้วยเหล่าผู้แทนจากสี่กลุ่มชาติพันธุ์หลักในภูมิภาค (ชาวอาร์มีเนีย ชาวอาเซอร์ไบจาน ชาวจอร์เจีย และชาวรัสเซีย) โดยคณะกรรมาธิการทรานส์คอเคเซียได้เข้ามาแทนที่โอซาคอมในฐานะรัฐบาลแห่งเซาท์คอเคซัส และถูกกำหนดให้ทำหน้าที่นั้นจนกระทั่งการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญรัสเซียในเดือนมกราคม ค.ศ. 1918 อิฟเกนี เกเกชโครี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานและกรรมการราษฎรฝ่ายกิจการต่างประเทศของคณะกรรมาธิการ[27] ส่วนตำแหน่งอื่น ๆ ของคณะกรรมาธิการได้ถูกแบ่งสรรกันระหว่างชาวอาร์มีเนีย ชาวอาเซอร์ไบจาน ชาวจอร์เจีย และชาวรัสเซีย[28] คณะกรรมาธิการทรานส์คอเคเซียจัดตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์อย่างชัดเจนที่จะเป็นรัฐบาลรักษาการ เพราะคณะไม่สามารถปกครองได้อย่างมั่นคง กล่าวคือ การตัดสินใจภายในประเทศส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับสภาแห่งชาติ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันและมีบรรทัดฐานตามกลุ่มชาติพันธุ์ ด้วยเหตุนี้เอง คณะกรรมาธิการจึงขาดการสนับสนุนทางทหารและไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ[29]
กองทัพรัสเซียและออตโตมันยังคงต่อสู้กันต่อไปในภูมิภาคนี้ กระทั่งมีการลงนามในการสงบศึกชั่วคราวแอร์ซินจัน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1917 [ตามปฎิทินเก่า: 5 ธันวาคม][30] เมื่อการสู้รบได้ยุติลง ในวันที่ 16 มกราคม 1918 [ตามปฎิทินเก่า: 3 มกราคม] นักการทูตออตโตมันได้เชิญชวนให้คณะกรรมาธิการเข้าร่วมในการเจรจาสันติภาพที่เบรสท์-ลีตอฟสก์ ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับที่บอลเชวิคได้ทำการเจรจายุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง แต่เนื่องด้วยคณะกรรมาธิการไม่ต้องการดำเนินการสิ่งใดโดยอิสระจากรัสเซีย จึงไม่ได้ตอบรับคำเชิญของรัฐบาลออตโตมันและไม่ได้มีส่วนร่วมกับการเจรจาสันติภาพนี้[31] สองวันต่อมา เมื่อวันที่ 18 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 5 มกราคม] สภาร่างรัฐธรรมนูญรัสเซียได้จัดการประชุมเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ก่อนที่บอลเชวิคจะยุบสภา เพื่อรักษาเสถียรภาพการปกครองเหนือรัสเซีย[32] ถือเป็นการยืนยันว่า คณะกรรมาธิการไม่สามารถร่วมมือกับบอลเชวิคในกิจการที่เกินความสามารถได้ ดังนั้นคณะกรรมาธิการจึงเริ่มก่อตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการมากขึ้น[33] การสงบศึกระหว่างจัรรรดิออตโตมันและคณะกรรมาธิการยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งวันที่ 30 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 17 มกราคม] เมื่อกองทัพออตโตมันได้เข้ารุกรานคอเคซัสอีกครั้ง โดยอ้างว่าการรุกรานครั้งนี้เป็นการตอบโต้การโจมตีประชากรชาวมุสลิมในดินแดนออตโตมันของกองกำลังติดอาวุธชาวอาร์มีเนีย[34] เมื่อกองทัพรัสเซียถอนกำลังออกจากแนวหน้าเป็นส่วนใหญ่ คณะกรรมาธิการเกรงว่าจะไม่สามารถต้านทานการรุกรานของออตโตมันครั้งนี้ได้ ดังนั้น เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ คณะกรรมาธิการจึงเริ่มเจรจาสันติภาพอีกครั้ง[30]
หมายเหตุ
- ↑ รัสเซีย: Закавказская демократическая Федеративная Республика (ЗДФР), Zakavkazskaya Demokraticheskaya Federativnaya Respublika (ZDFR)[3]
- ↑ รัสเซียและทรานส์คอเคเซียนับเวลาโดยใช้ปฏิทินจูเลียน ซึ่งช้ากว่าปฏิทินเกรกอเรียนที่ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปใช้ 13 วัน อย่างไรก็ตาม รัสเซียได้เปลี่ยนไปใช้ปฏิทินเกรกอเรียนในเดือนกุมภาพันธ์ 1918[4]
- ↑ ก่อน ค.ศ. 1918 โดยทั่วไปแล้วจะรู้จักกันในชื่อ "ชาวทาทาร์" ซึ่งคำนี้ถูกใช้โดยชาวรัสเซีย หมายถึงชาวมุสลิมที่พูดภาษาเตอร์กิก (ชีอะและซุนนี) ในภูมิภาคทรานส์คอเคซัส ต่างจากชาวอาร์มีเนียและชาวจอร์เจีย ชาวทาทาร์ไม่มีอักขระเป็นของตนเองและใช้อักษรเปอร์เซีย-อารบิกเป็นอักขระหลัก ภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาเซอร์ไบจานใน ค.ศ. 1918 และ "โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโซเวียต" ชาวทาทาร์ได้ระบุว่าตนเองเป็น "ชาวอาเซอร์ไบจาน"[5][6] ซึ่งก่อนหน้า ค.ศ. 1918 คำว่า "อาเซอร์ไบจาน" หมายถึงเฉพาะจังหวัดอาเซอร์ไบจานของอิหร่านเพียงเท่านั้น[7]
- ↑ ปัจจุบันคือเมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน
- ↑ รัสเซีย: Особый Закавказский Комитет; Osobyy Zakavkazskiy Komitet[20]
- ↑ เซนต์ปีเตอส์เบิร์กถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเปโตรกราดใน ค.ศ. 1914[23]
- ↑ รัสเซีย: Совет หรือ Sovet หมายถึง "สภา"[24]
อ้างอิง
- ↑ Brisku & Blauvelt 2020, p. 2
- ↑ Javakhishvili 2009, p. 159
- ↑ Uratadze 1956, p. 64
- ↑ Slye 2020, p. 119, note 1
- ↑ Bournoutian 2018, p. 35 (note 25).
- ↑ Tsutsiev 2014, p. 50.
- ↑ Bournoutian 2018, p. xiv.
- ↑ Saparov 2015, p. 20
- ↑ Saparov 2015, pp. 21–23
- ↑ Marshall 2010, p. 38
- ↑ King 2008, p. 146
- ↑ King 2008, p. 150
- ↑ Kazemzadeh 1951, p. 3
- ↑ King 2008, p. 154
- ↑ Marshall 2010, pp. 48–49
- ↑ Suny 2015, p. 228
- ↑ Kévorkian 2011, p. 721
- ↑ King 2008, pp. 157–158
- ↑ Kazemzadeh 1951, pp. 32–33
- ↑ Hovannisian 1969, p. 75
- ↑ Hasanli 2016, p. 10
- ↑ Swietochowski 1985, pp. 84–85
- ↑ Reynolds 2011, p. 137
- ↑ 24.0 24.1 Suny 1994, p. 186
- ↑ Kazemzadeh 1951, p. 35
- ↑ Kazemzadeh 1951, pp. 54–56
- ↑ Kazemzadeh 1951, p. 57
- ↑ Swietochowski 1985, p. 106
- ↑ Kazemzadeh 1951, p. 58
- ↑ 30.0 30.1 Mamoulia 2020, p. 23
- ↑ Kazemzadeh 1951, p. 84
- ↑ Swietochowski 1985, p. 108
- ↑ Kazemzadeh 1951, p. 85
- ↑ Engelstein 2018, p. 334
บรรณานุกรม
- Bakradze, Lasha (2020), "The German perspective on the Transcaucasian Federation and the influence of the Committee for Georgia's Independence", Caucasus Survey, 8 (1): 59–68, doi:10.1080/23761199.2020.1714877, S2CID 213498833
- Bournoutian, George (2018), Armenia and Imperial Decline: The Yerevan Province, 1900–1914, Milton Park, Abingdon, Oxon: Routledge, ISBN 978-1-351-06260-2
- Brisku, Adrian (2020), "The Transcaucasian Democratic Federative Republic (TDFR) as a "Georgian" responsibility", Caucasus Survey, 8 (1): 31–44, doi:10.1080/23761199.2020.1712902, S2CID 213610541
- Brisku, Adrian; Blauvelt, Timothy K. (2020), "Who wanted the TDFR? The making and the breaking of the Transcaucasian Democratic Federative Republic", Caucasus Survey, 8 (1): 1–8, doi:10.1080/23761199.2020.1712897
- de Waal, Thomas (2015), Great Catastrophe: Armenians and Turks in the Shadow of Genocide, Oxford: Oxford University Press, ISBN 978-0-19-935069-8
- Engelstein, Laura (2018), Russia in Flames: War, Revolution, Civil War 1914–1921, Oxford: Oxford University Press, ISBN 978-0-19-093150-6
- Forestier-Peyrat, Etienne (2016), "The Ottoman occupation of Batumi, 1918: A view from below" (PDF), Caucasus Survey, 4 (2): 165–182, doi:10.1080/23761199.2016.1173369, S2CID 163701318, เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-19, สืบค้นเมื่อ 2021-08-06
- Hasanli, Jamil (2016), Foreign Policy of the Republic of Azerbaijan: The Difficult Road to Western Integration, 1918–1920, New York City: Routledge, ISBN 978-0-7656-4049-9
- Hovannisian, Richard G. (1969), Armenia on the Road to Independence, 1918, Berkeley and Los Angeles, California: University of California Press, OCLC 175119194
- Hovannisian, Richard G. (2012), "Armenia's Road to Independence", ใน Hovannisian, Richard G. (บ.ก.), The Armenian People From Ancient Times to Modern Times, Volume II: Foreign Dominion to Statehood: The Fifteenth Century to the Twentieth Century, Houndmills, Basingstoke, Hampshire: MacMillan, pp. 275–302, ISBN 978-0-333-61974-2
- Javakhishvili, Nikolai (2009), "History of the Unified Financial system in the Central Caucasus", The Caucasus & Globalization, 3 (1): 158–165
- Jones, Stephen F. (2005), Socialism in Georgian Colors: The European Road to Social Democracy 1883–1917, Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press, ISBN 978-0-67-401902-7
- Kazemzadeh, Firuz (1951), The Struggle for Transcaucasia (1917–1921), New York City: Philosophical Library, ISBN 978-0-95-600040-8
- Kévorkian, Raymond (2011), The Armenian Genocide: A Complete History, Bloomsbury Publishing, ISBN 978-0-85771-930-0
- King, Charles (2008), The Ghost of Freedom: A History of the Caucasus, Oxford: Oxford University Press, ISBN 978-0-19-539239-5
- Mamoulia, Georges (2020), "Azerbaijan and the Transcaucasian Democratic Federative Republic: historical reality and possibility", Caucasus Survey, 8 (1): 21–30, doi:10.1080/23761199.2020.1712901, S2CID 216497367
- Marshall, Alex (2010), The Caucasus Under Soviet Rule, New York City: Routledge, ISBN 978-0-41-541012-0
- Reynolds, Michael A. (2011), Shattering Empires: The Clash and Collapse of the Ottoman and Russian Empires 1908–1918, Cambridge: Cambridge University Press, ISBN 978-0-521-14916-7
- Saparov, Arsène (2015), From Conflict to Autonomy in the Caucasus: The Soviet Union and the making of Abkhazia, South Ossetia and Nagorno Karabakh, New York City: Routledge, ISBN 978-1-138-47615-8
- Slye, Sarah (2020), "Turning towards unity: A North Caucasian perspective on the Transcaucasian Democratic Federative Republic", Caucasus Survey, 8 (1): 106–123, doi:10.1080/23761199.2020.1714882, S2CID 213140479
- Suny, Ronald Grigor (1994), The Making of the Georgian Nation (Second ed.), Bloomington, Indiana: Indiana University Press, ISBN 978-0-25-320915-3
- Suny, Ronald Grigor (2015), "They Can Live in the Desert but Nowhere Else": A History of the Armenian Genocide, Princeton, New Jersey: Princeton University Press, ISBN 978-0-691-14730-7
- Taglia, Stefano (2020), "Pragmatism and expediency: Ottoman calculations and the establishment of the Transcaucasian Democratic Federative Republic", Caucasus Survey, 8 (1): 45–58, doi:10.1080/23761199.2020.1712903, S2CID 213772764
- Swietochowski, Tadeusz (1985), Russian Azerbaijan, 1905–1920: The Shaping of National Identity in a Muslim Community, Cambridge, United Kingdom: Cambridge University Press, ISBN 978-0-521-52245-8
- Tsutsiev, Arthur (2014), "1886–1890: An Ethnolinguistic Map of the Caucasus", Atlas of the Ethno-Political History of the Caucasus, New Haven, Connecticut: Yale University Press, pp. 48–51, ISBN 978-0-300-15308-8
- Uratadze, Grigorii Illarionovich (1956), Образование и консолидация Грузинской Демократической Республики [The Formation and Consolidation of the Georgian Democratic Republic] (ภาษารัสเซีย), Moscow: Institut po izucheniyu istorii SSSR, OCLC 1040493575
- Zolyan, Mikayel (2020), "Between empire and independence: Armenia and the Transcaucasian Democratic Federative Republic", Caucasus Survey, 8 (1): 9–20, doi:10.1080/23761199.2020.1712898, S2CID 216514705